วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

10 การโกหกครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์

อันดับ 1 นโยบายการถือชาติพันธุ์ของนาซี

ช่วงทศวรรษที่ 1930 ของสาธารณรัฐไวมาร์เยอรมัน มีแนวคิดความ "สะอาดทางเชื้อชาติ" ที่แบ่งแยกเชื้อชาติของพลเมืองเยอรมัน ในปี 1935 มีการเสนอกฎหมายสองฉบับ ซึ่งรู้จักกันในชื่อ "กฎหมายเนือร์นแบร์ก" นั่นคือห้ามการสมรสระหว่างผู้ที่มิใช่ยิวกับเยอรมันเชื้อสายยิว และกฎหมายกีดกันผู้ที่ "มิใช่อารยัน" จากประโยชน์ของพลเมืองเยอรมัน

สาเหตุการแบ่งแยกเชื้อชาติของขบวนการล้างชาตินาซี คือต้องการแยกชนชาติเชื้อสายอารยันและพวกที่ไม่มีเชื่อสายอารยัน โดยมุ่งเป้าหมายหลักไปยังชาวยิว การทำลายล้างชนชาติยิว จึงเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ นำพรรคนาซีขึ้นปกครองประเทศโดยชอบธรรมตามกฎหมายในปี 1933 ฮิตเลอร์โยนความผิดและปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในเยอรมันช่วงเวลานั้นว่าเป็นความผิดของชาวยิว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจตกต่ำ เหตุการณ์ไฟไหม้ การที่เยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และปัญหาต่าง ๆ อีกร้อยพันประการ รวมถึงหนึ่งในคำกล่าวหาที่อุกอาจนั่นย้อนไปถึงยุคกลางที่อ้างว่า ชาวยิวมีส่วนร่วมในการสังหารเด็กทารกในพิธีกรรมทางศาสนา เพื่อนำเลือดของพวกเขามารับประทานกับขนมปัง

ชาวยิวในเวลานั้นถูกกดขี่ข่มเหงในทุกรูปแบบ พรรคนาซีได้ออกกฎหมายกว่า 400 มาตราเพื่อริดรอนสิทธิชาวยิว เช่นชาวยิวไม่สามารถเป็นเจ้าของที่ดินเพาะปลูกในเยอรมันได้ กิจการร้านค้าของชาวยิวโดนรัฐบาลเยอรมันสั่งปิด นอกจากนี้นาซียังออกกฎหมายสั่งปลดประชากรเชื้อสายที่ไม่ใช่ชาวอารยันออกจากงาน ในเวลานั้นชาวยิวหลายคนที่อยู่ผิดที่ผิดเวลาโดนทุบตีทำร้ายจนบางครั้งถึงเสียชีวิต

คำกล่าวหาเหล่านี้นำไปสู่การพันธุฆาตหรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในที่สุด ชนชาติยิวร่วม 6 ล้านคนถูกสังหารหมู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง จากการสนับสนุนของรัฐที่นำโดยอดอล์ฟ ฮิตเลอร์และพรรคนาซี นับเป็นหนึ่งในคำโฆษณาชวนเชื่อที่หลอกลวงครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์

อันดับ 2 คดีอื้อฉาววอเตอร์เกต

ประธานาธิบดีนิกสันขณะเดินทางออกจากทำเนียบขาว
ไม่นานก่อนการลาออกมีผลบังคับใช้ ณ วันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1974
คดีวอเตอร์เกต คือเหตุอื้อฉาวทางการเมือง ที่เป็นเรื่องอัปยศของชาวอเมริกัน ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1970 เหตุการณ์สืบเนื่องมาจากการลักลอบโจรกรรมในสำนักงานใหญ่ของพรรคเดโมแครต ณ อาคารวอเตอร์เกต ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 1972

เหตุอื้อฉาวเริ่มต้นขึ้นด้วยการจับกุมชายห้าคนในคดีลักลอบโจรกรรมข้อมูลในที่ทำการใหญ่พรรคเดโมแครต เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 1972 โดยสำนักงานสอบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (FBI) เชื่อมโยงเส้นทางการเงินของคนร้ายทั้งห้าคนจนสาวไปถึงกองทุนหนึ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มระดมทุนสำหรับการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สองของนิกสัน ขณะที่หลักฐานทั้งหมดพุ่งชี้ไปยังคณะทำงานของประธานาธิบดี

ขณะที่คณะทำงานของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน พยายามปกปิดหลักฐานนี้ ถึงการข้องเกี่ยวในเหตุโจรกรรมดังกล่าว นำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งของระธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ในวันที่ 9 สิงหาคม 1972 คดีวอเตอร์เกตนี้นับเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่สะเทือนใจชาวอเมริกันอย่างมาก เพราะมันได้ทำลายแนวคิดที่ยึดมั่นในเสรีภาพและสิทธมนุษยชน และระบบประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ ที่ทั้งหมดเป็นเพียงภาพจอมปลอมที่สร้างขึ้นของริชาร์ด นิกสัน








อันดับ 3 ความสัมพันธ์ลับของประธานาธิบดี บิล คลินตันกับสาวฝึกงานในทําเนียบขาว


บิล คลินตันและฮิลลารีภรรยาของเขา
กรณีข่าวอื้อฉาวไม่ใช่มีแต่เฉพาะนักแสดง ผู้กำกับ หรือในละคร เพราะนี้คือเรื่องลับ ๆ ของผู้บริหารระดับประเทศ เมื่อประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาอย่างบิล คลินตันถูกเปิดโป้งและขุดคุ้ยเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวครั้งใหญ่ถึงความสัมพันธ์ลับของเขากับเด็กฝึกงานสาวชื่อมนิก้าลูวินสกี้ ในทําเนียบขาว ประธานาธิบดีปฏิเสธข้อกล่าวหาความสัมพันธ์นี้ ทว่ามีการค้นพบจดหมายที่เขาเขียน และเทปเสียงที่ดักฟังทางโทรศัพท์ของเขา ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญในการมัดตัวครั้งนี้

อันดับ 4 กรณีเหตุการณ์เดรย์ฟุส ที่ส่งผลให้เกิดความแตกแยกทางการเมืองและสังคมในฝรั่งเศส


ภาพวาด "การถอดยศอัลเฟรด เดรฟุส"

เหตุการณ์เดรย์ฟุส คือหนึ่งในวิกฤตการณ์ทางการเมืองและสังคมในสมัยสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 ซึ่งเริ่มขึ้นในปี 1894 จนถึงปี 1906 เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างสถาบันหลักทางการปกครองและสังคมฝรั่งเศส จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ นี้สืบเนื่องมาจากคดีเดรฟุส เมื่อร้อยเอกอัลเฟรด เดรฟุส นายทหารประจำกรมเสนาธิการถูกจับกุมในข้อหาทรยศต่อชาติ เพราะขายความลับทางการทหารให้แก่พันเอกมากซ์ ฟอน ชวาทซ์คอพเพิน (Max von Schwartzkoppen) ผู้ช่วยทูตทหารบกเยอรมันประจำฝรั่งเศส ด้วยเหตุที่เดรฟุส เป็นนักสาธารณรัฐนิยมและเป็นชาวฝรั่งเศสเชื้อสายยิว ซึ่งอพยพมาจากแคว้นอัลซาซ (แคว้นที่เคยอยู่ในการปกครองของเยอรมัน)

ปัญหาทางเชื้อชาติของเดรฟุสทำให้มีมูลเหตุสำคัญที่ทำให้มหาชนเชื่อว่า เขาคือชาวยิวที่ทรยศต่อฝั่งเศส มีการไต่สวนความผิดโดยเป็นความลับทางทหาร ซึ่งทางการทหารได้แสดงเอกสารลับสำคัญที่อ้างว่าเป็นหลักฐานมัดตัวและยืนยันความผิดของเดรฟุส โดยที่เขาและทนายไม่มีโอกาสแม้เห็นเอกสารดังกล่าว ทำให้มีมติเนรเทศเขาไปอยู่แคว้นโดดเดี่ยวเฟรนช์เกียนา ทางทวีปอเมริกาใต้

คดีได้เริ่มจางหายไปจากความสนใจของผู้คน ต่อมาพันเอกชอร์เช ปีคการ์ (Georger Picquart) ได้รับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับคนใหม่ ทำให้เขารู้ว่าการเนรเทศของเดรฟุสไม่ได้รับความยุติธรรม จึงพยายามเรียกร้องให้มีการสืบสวนใหม่ แม้ว่าชาวฝรั่งเศสส่วนใหญ่ยังไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องให้มีการรื้อฟื้นคดีนี้ แต่นักการเมืองและปัญญาชนฝ่ายสาธารณรัฐนิยมก็เริ่มให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากขึ้น ต่อมาเพื่อให้เรื่องยุติกองทัพจึงยืนยันความถูกต้องและอำนาจของตน ในขณะเดียวกันปีการ์ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งไป





อันดับ 5 พิลท์ดาวน์แมน หลักฐานปลอมที่เชื่อมโยงทฤษฎีมนุษย์ครึ่งคนครึ่งลิง และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และลิงถึงการสันนิษฐานว่ามีบรรพบุรุษร่วมกัน


อัลแวน ที.มาร์สตัน ผู้พิสูจน์ว่ากะโหลกพิลท์ดาวน์ไม่ใช่ของจริง
ได้แสดงให้เห็นว่าฟันของชิมแปนซีนั้นตรงกับกะโหลกดังกล่าวอย่างไร

หลังจากชาลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ผู้ปฏิวัติความเชื่อเดิม ๆ เกี่ยวกับที่มาของสิ่งมีชีวิต และเสนอทฤษฎีซึ่งเป็นทั้งรากฐานของทฤษฎีวิวัฒนาการสมัยใหม่ ทำให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่มีความต้องการที่จะรวบรวมหาหลักฐานซากฟอสซิลของบรรพบุรุษ หรือนิยามการศึกษาเรื่องนี้ว่า "การเชื่อมโยงที่หายไป" ในช่วงระยะเวลาของการวิวัฒนาการมนุษย์ ตามทฤษฎีวิวัฒนาการ มนุษย์ไม่ได้วิวัฒนาการมาจากลิง แต่มนุษย์กับลิงเคยมีบรรพบุรุษร่วมกันมาก่อน ซึ่งบรรพบุรุษร่วมนั้นได้สูญพันธุ์ไปแล้ว จึงไม่มีใครทราบว่าจุดเชื่อมโยงระหว่างคนกับลิงมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร

ในปี 1910 เมื่อ ชาร์ลส์ ดอว์สัน (Charles Dawson) นักโบราณคดีค้นพบสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นการเชื่อมโยงส่วนที่หายไป  ซึ่งแท้จริงแล้วสิ่งที่เขาพบจริงแล้วเป็นหนึ่งในการหลอกลวงครั้งใหญ่ของประวัติศาสตร์ จากการค้นพบเศษกะโหลกคล้ายของมนุษย์และขากรรไกรคล้ายของลิงไม่มีหางในหลุมกรวดที่เมืองพิลท์ดาวน์ ประเทศอังกฤษ ได้นำมาประกอบกะโหลกและขากรรไกรเข้าด้วยกัน แต่ในปี 1953 กลายเป็นว่าสิ่งที่ค้นพบนั้น ไม่ใช่หลักฐานการเชื่อมโยงระหว่างคนกับลิง หากแต่เป็นงานของคนทำปลอมขึ้นมาได้เหมือนจริงมากเท่านั้น โดยกะโหลกเป็นของมนุษย์ในยุคกลาง ส่วนขากรรไกรเป็นของอุรังอุตัง และฟันเป็นของชิมแปนซี







อันดับ 6  การปล่อยข่าวลือแผนการลอบปลงพระชนม์พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ของนักบวชไททัส โอตส์

ภาพวาดของนักบวชไททัส โอตส์บนหลักประหาร

การคบคิดพ็อพพิช เป็นข่าวลือที่ไม่มีมูลสร้างขึ้นโดยไททัส โอตส์ (Titus Oates) บาทหลวงชาวอังกฤษฝ่ายโรมันคาทอลิก ระหว่างปี ค.ศ. 1678 ถึงปี ค.ศ. 1681 โดยเขาอ้างว่ามีการคบคิดกันอยู่ในหมู่ผู้นับถือโรมันคาทอลิกถึงแผนการที่จะปลงพระชนม์พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2

ข่าวลือนี้ส่งผลทำให้มีผู้ถูกจับและถูกประหารชีวิตไปอย่างน้อย 15 คน นำไปสู่การร่างพระราชบัญญัติการยกเว้นผู้สืบราชบัลลังก์ ภายหลังการสืบสวนอันซับซ้อนของโอตส์ก็เป็นที่เปิดเผยซึ่งทำให้ถูกจับในข้อหาการสร้างเรื่องเท็จ ทำให้ประชาชนเกิดมีความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อโรมันคาทอลิกอย่างรุนแรงไปทั่วราชอาณาจักรอังกฤษ

อันดับ 7 การอ้างตัวเป็นเจ้าหญิงอะนัสตาซียาแห่งราชวงศ์รามานาฟของแอนนา แอนเดอร์สัน


ภาพเปรียบของเจ้าหญิงอะนัสตาซียาและแอนนา แอนเดอร์สัน

ช่วงการปฏิวัติบอลเชวิกของรัสเซียในปี 1917 ซึ่งได้ทำลายระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของรัสเซียลงไปอย่างสิ้นเชิง นำไปสู่การก่อตั้งสหภาพโซเวียต พระเจ้าซาร์ถูกถอดพระอิสริยยศและมีการจัดตั้งรัฐบาลขึ้นชั่วคราว ทำให้พระเจ้าซาร์และครอบครัวเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ถูกจองจำ จนกระทั้งตำรวจบอลเชวิกสั่งประหารปลงพระชนม์ยิงเป้าสมาชิกเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ในปี 1918 ถือเป็นการสิ้นสุดราชวงศ์โรมานอฟที่ยาวนานของรัสเซีย

อย่างไรก็ดีก็มีการถกเถียงกันถึงสาเหตุที่ไม่พบที่ฝังพระศพของเจ้าหญิงอะนัสตาซียา ทำให้มีข้อสมมติฐานว่าพระนาง อาจทรงรอดพ้นจากมรณภัยและหลบหนีมาได้ มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างนี้แพร่ทั่วไป และมีการแอบอ้างตัวเป็นพระนางมากหลายรายโดยเฉพาะแอนนา แอนเดอร์สัน (Anna Anderson) ที่เป็นกรณีที่ได้รับความสนใจที่สุด จนกระทั้งมีผลการทดสอบทางพันธุกรรมเพื่อหาข้อพิสูจน์ความเกี่ยวข้องของเธอและราชวงศ์รามานาฟในปี 1994 ปรากฏว่า ไม่มีสิ่งใดในร่างกายของแอนเดอร์สันเกี่ยวข้องทางพันธุกรรมกับพระราชวงศ์รามานาฟ (House of Romanov) เลย



อันดับ 8 การฉ้อโกงสะท้านโลกของเบอร์นาร์ด แมดอฟฟ์



เมื่อเบอร์นาร์ด แมดอฟฟ์ อดีตประธานตลาดหุ้นแนสแดค สารภาพต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ และหน่วยงานสืบสวนสอบสวนของสหรัฐ ว่า เขาฉ้อโกงประชาชน โดยโน้มน้าวให้เหยื่อมาลงทุนในลักษณะของ Ponzi Scheme ที่มีพฤติกรรมการฉ้อโกงที่มีลักษณะเป็นแชร์ลูกโซ่ โดยลูกค้าจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการลงทุนในอัตราสูงๆ หากสามารถหาลูกค้ามาลงทุนต่อเนื่องเป็นไปเรื่อย ๆ

คำสารภาพของแมดอฟฟ์ เป็นจุดเริ่มของการย้อนรอยคดีฉ้อโกงครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งสร้างมูลค่าความเสียหายให้กับนักลงทุนไปมหาศาล ประกอบไปด้วยสถาบันการเงิน มูลนิธิ มหาเศรษฐี คนมีชื่อเสียง นักการเมือง หรือแม้กระทั่งเพื่อนสนิทมิตรสหายของแมดอฟฟ์เอง เป็นจำนวนประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

อันดับ 9 ฮันฟาน เมียเกอเร็นปลอมแปลงผลงานของโยฮันส์ เวร์เมร์

ฟาน เมียเกอเร็น ยืนยันว่าภาพวาดที่เป็นผลงานของตน
หนึ่งการโกหกกรณีครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ เมื่อฮันฟาน เมียเกอเร็นศิลปินชาวดัตช์ ถูกเหล่านักวิจารณ์และผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะจับได้ว่าเขาปลอมเเปลงผลงานของโยฮันส์ เวร์เมร์ จิตรกรชาวดัตช์ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในต้นศตวรรษที่ 20 นักวิชาการถกเถียงกันกับเกี่ยวกับผลงานภาพวาดชุดพระคัมภีร์ไบเบิลของเวร์เมร์ และฟาน เมียเกอเร็นใช้โอกาสนี้ปลอมแปลงหนึ่งในผลงานของเวร์เมร์อย่างรอบครอบ ซึ่งหนึ่งในผลงานนั้นคือภาพ 'The Disciples at Emmaus' 

ฟาน เมียเกอเร็นใส่ใจในทุกรายละเอียดของภาพ เพื่อการปลอมแปลงครั้งนี้ เขารู้ประวัติทุกอย่างของภาพวาดนี้ดีทั้งอายุของภาพที่มากผ่านหลายศตวรรษ เขากล่าวว่านักวิจารณ์มีอคติเกินไปกับตัวเขา และกล่าวหาว่าพวกเขาเพียงแค่ต้องการจะเชื่อว่าภาพนี้คือผลงานของเวร์เมร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะส่วนใหญ่เชื่อว่าภาพวาดนี้คือผลงานของเวร์เมร์จริงและฟาน เมียเกอเร็น เป็นหัวขโมยที่จะปลอมแปลงเพื่อจะขายผลงานของเวร์เมร์ อย่างไรก็ตามฟาน เมียเกอเร็นมีผลงานอยู่ในช่วงทศวรรษที่ 30 -40 และอีกหนึ่งในความผิดพลาดของเขาคือ เขาได้ขายภาพวาดให้กับสมาชิกคนสำคัญของนาซี หลังจากสงครามยุติ ฝ่ายสัมพันธมิตรเชื่อว่าเขามีส่วนสมรู้ร่วมคิดสำหรับการขาย สมบัติของชาติให้กับศัตรู

ในการพิจารณาคดีฟาน เมียเกอเร็นได้วาดภาพหนึ่งสำหรับเสรีภาพของเขา เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าเขาไม่มีส่วนในการขายสมบัติของชาติและปลอมแปลงผลงานให้การเจ้าหน้าที่ เขาจึงได้รับโทษสถานเบาหนึ่งปีในคุก แต่ฟาน เมียเกอเร็นก็ได้เสียชีวิตลงจากอาการหัวใจวายสองเดือนหลังจากการพิจารณาคดีสหรัฐ


อุบายม้าไม้เมืองทรอยหนึ่งในการโกหกครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์

ภาพวาดม้าโทรจัน
ม้าโทรจันหรือม้าไม้เมืองทรอย คือเรื่องราวการทำสงครามระหว่างชาวกรีกกับกรุงทรอย ซึ่งทหารกรีกได้ใช้กลยุทธ์ม้าไม้ขนาดใหญ่ ที่เป็นอุบายนำไปสู่การบุกเข้าเมืองทรอยที่มีป้อมปราการอันแข็งแกร่งได้สำเร็จ

หลังจากที่กรีกและเมืองทรอยทำสงครามยืดเยื้อมานานถึง 10 ปีแล้ว ทหารกรีกจึงแสร้งทำเป็นถอยทัพกลับ และสร้างไม้ม้าขนาดใหญ่ เมื่อชาวเมืองทรอยเห็นจึงเข้าใจว่าทหารกรีกสร้างม้าไม้ขึ้นมาเพื่อเบรรณาการบูชาเทพเจ้าหรือเป็นการขอขมาต่อชาวเมืองทรอย จึงลากเข้าไปไว้ในเมืองและฉลองชัยชนะ ทว่าเมื่อตกดึกทหารกรีกที่ซ่อนตัวอยู่ในม้าไม้ก็ไต่ลงมาเผาเมืองและปล้นเมืองทรอยได้เป็นที่สำเร็จ

วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สองวีรบุรุษนักปีนเขาพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกได้ในปี 1953

Learn to History : สองวีรบุรุษนักปีนเขาพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกได้ในปี 1953

ฮิลลารีและนอร์เกย์สร้างประวัติศาสตร์
ด้วยการพิชิตจุดปลายสูงสุดของโลก
ความสำเร็จครั้งใหญ่นี้นับเป็นหนึ่งในสุดยอด
ความสำเร็จแห่งศตวรรษที่ 20
กว่าครึ่งศตวรรษแล้วนับตั้งแต่เซอร์ เอ็ดมันด์ ฮิลลารีและเทนซิง นอร์เกย์กลายเป็นนักปีนเขาสองคนแรกที่พิชิตยอดเขาสูงที่สุดของโลกได้ และกระทั่งหกทศวรรษที่ผ่านมาความสำเร็จของพวกเขาสะท้อนให้เห็นว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดความสำเร็จแห่งศตวรรษที่ 20

ยอดเขาเอเวอเรสต์แห่งเทือกเขาหิมาลัย ที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลถึง 8,840 เมตร เป็นจุดปลายสุดยอดที่ไม่มีสิ่งใดสูงกว่านี้อีกแล้วบนโลก และธรรมชาติของดาวดวงนี้ไม่ได้กำหนดให้ใครหรือสิ่งมีชีวิตใดขึ้นมาบนนี้ได้ มีเพียงเกร็ดความเย็นสีขาวบริสุทธิ์ปกคลุมหินผานี้ สภาพอากาศที่เบาบางจนแทบไม่สามารถหายใจได้ รังสียูวีและแสงแดดแรงกว่าที่ระดับพื้นดินส่งผลต่อสายตาพวกเขา หากมองด้วยตาเปล่าเป็นเวลานาน และท้ายที่สุดมันก็ถูกพิชิตได้โดยนักปีนเขาเทนซิง นอร์เกย์ชายชาวเนปาลคนท้องถิ่นและเซอร์ เอ็ดมันด์ ฮิลลารีนักผจญภัยชาวนิวซีแลนด์ที่เคยพ่ายแพ้ใหักับการขึ้นสู่ยอดเขาเอเวอเรสต์ในปี 1951 มาแล้ว

ภูเขาสีขาวบริสุทธิ์สวยงามทอดยาวปกคลุมหิมะเบื้องล่างตั้งตระหง่านต้านทานลมพายุ ยืนตัดเมฆหมอกที่ลอยผ่านมาอย่างสวยงาม และทั้งโอบอุ้มชีวิตมอบสายน้ำแก่ผู้คนในรอบล้อมเทือกเขาหิมาลัยนี้ 'โซโมลังมา' หรือ 'มารดาแห่งสวรรค์' เป็นชื่อภาษาถิ่นที่เรียกด้วยศรัทธาของชาวทิเบต ส่วนชาวเนปาลขนานนามยอดเขาแห่งนี้ว่า 'สครมาถา' หมายถึง 'หน้าผากแห่งท้องฟ้า' ด้วยความที่เป็นภูเขาสูงใหญ่ทำให้มนตร์เสน่ห์ของเขาหิมาลัยนี้ท้าทายนักปีนเขาทั้งหลายจากทั่วโลก

นอร์เกย์ยืนตระง่านอยู่บนยอดเขา
มือถือธงแห่งชัยชนะพร้อมปัก
ประวัติศาสตร์ลงบนพื้นน้ำแข็ง
ซึ่งภาพนี้ถ่ายโดยฮิลลารี
ในประวัติการเดินทางเพื่อพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์นั้นเริ่มขึ้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ตั้งแต่ในปี ค.ศ. 1921 แล้ว และเมื่อในที่สุดวันที่ 29 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1953 เวลา 11:30 ขณะพระอาทิตย์ใกล้จะลอยขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดมนุษย์สองคนได้ยืนอยู่ปลายสุดของแผ่นดินโลกแล้ว ประวัติศาสตร์ได้บันทึกเรื่องราวความกล้าหาญของนักปีนเขานอร์เกย์และฮิลลารี มนุษย์สองคนที่ยืนอยู่เหนือปลายสุดของแผ่นดิน

นอร์เกย์ได้วางแท่งช็อคโกแลตเป็นการขอบคุณเอเวอเรสต์ส่วนฮิลลารีวางสร้อยกางเขนเป็นการขอบคุณพระเจ้า เมื่อสองนักปีนเขาผู้พิชิตลงมาถึงพื้นโลกอย่างปลอดภัยพวกเขาก็ได้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้อย่างสมบูรณ์

ความยิ่งใหญ่ของการพิชิตเทือกเขาเอเวอเรสต์นี้ได้ สำหรับชาวเชอร์ปา และนักปีนเขาบางคนแล้ว ยอดเขาเอเวอเรสต์ไม่ได้เป็นเพียงแค่จุดที่สูงที่สุดบนพื้นโลกเท่านั้น หากยังเป็นจุดหมายสูงสุดในชีวิตพวกเขาด้วย การไปให้ถึงยอดเขาเอเวอเรสต์เป็นเรื่องที่ยากลำบาก แต่เมื่อยอดเขาเอเวอเรสต์ถูกพิชิตได้ นั่นหมายความว่าขีดจำกัดของมนุษยชาติได้เพิ่มขึ้นภายหลังที่เทนซิง นอร์เกย์ และเซอร์ เอ็ดมันด์ ฮิลลารีพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสได้สำเร็จนั้น พวกเขาได้รับความสนใจและเสียงสรรเสริญมากมายจากผู้คนทั่วโลก หนังสือพิมพ์พาดหัว “ผู้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์กลับมาอีกครั้ง” มีงานเลี้ยงฉลองและพิธีมอบเหรียญรางวัลจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ผู้คนต่างให้ความสนใจข่าวการพิชิตยอดเขาของโลก อีกทั้งยังเป็นการสร้างแรงบัลดาลใจแก่นักผจญภัยทั่วโลกด้วย

นักข่าวยิงคำถามมากมายใส่พวกเขาเช่น “ทำไมพวกคุณต้องเอาชีวิตไปทิ้งบนนั้นด้วย” ฮิลลารีได้ตอบว่า “เราไม่ได้ขึ้นไปตายแต่เราขึ้นไปเพื่อมีชีวิตเป็นนิรันด์” อีกทั้งคำถามที่ถกเถียงกันมากมายที่ว่า ใครที่ก้าวขึ้นไปสู่จดสูงสุดของโลกเป็นคนแรกกันแน่ระหว่าง ฮิลลารีชายร่างสูงแข็งแรงผู้รักการปีนเขาที่กลับมาท้าทายเอาชนะเอเวอเรสต์จากความล้มเหลวเมื่อปี 1951 หรือนอร์เกย์ชายชาวเนปาลที่มีความรู้ความเข้าใจดีในเรื่องของสภาพอากาศ และคำตอบสำหรับคำถามที่ถกเถียงกันมากมายนี้ นอร์เกย์ได้ตอบคำถามนี้ด้วยความจริงใจว่า “มันสำคัญด้วยหรือว่าใครคือคนแรกในเมื่อเราต่างพิชิตยอดเขาได้เหมือนกัน”

แม้ยอดเขาเอเวอเรสต์จะถูกพิชิตลงได้อย่างเป็นทางการ แต่มนต์ขลังของยอดเขาแห่งนี้ก็ใช่ว่าจะหมดไป นักปีนเขาทั้งหลายทั่วทุกสารทิศจากทุกมุมโลก ทั้งชายและหญิงต่างก็อยากท้าทายความกล้าที่จะพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ให้ได้ซักครั้งในชีวิต นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1953 เป็นต้นมา ความสำเร็จแรกของการพิชิตเอาชนะยอดเขาสูงสุดของโลกได้นี้ได้จุดประกายให้กับนักปีนเขาและนักผจญภัยทั่วโลก

ฝูงชนชาวเนปาลแห่ต้อนรับสองวีรบุรุษ ณ จัตุรัสวิหาร Bhandgaon
นอร์เกย์ยืนอยู่รถจิ๊บคันแรกตามมาด้วยรถของฮิลลารีคันหลัง





วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556

History is Written by The Winners : ประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยผู้ชนะญี่ปุ่นหลังพ่ายสงคราม



เด็ก ๆ ชาวญี่ปุ่นรอรับเสด็จจักรพรรดิโชวะแห่งญี่ปุ่น ระหว่างการเสร็จเยื่ยมเยือนสภาพบ้านเมืองและประชาชน
ครั้งแรกนับตั้งแต่สิ้นสุดสงคราม
เมื่อความขัดแย้งของการสู้รบสิ้นสุด มีการลงนามถึงจุดมุ่งหมายและค้นหาปรัชญาของการปราชัย มีคำแก้ตัวของพวกเขาสำหรับหลังการสู้รบไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับสงครามหรือไม่ ญี่ปุ่นต้องการบอกเพียงเป็นปกป้องตัวเองจากผู้รุกราน จุดมุ่งหมายของการปราชัย ในช่วงเวลาของบทสรุปแห่งการยอมจำนนนี้แทบจะหาเหตุผลให้ต้องโต้แย้งไม่ได้ คำกล่าวเดิมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และผู้ชนะคือการรับรู้เรื่องราวของอดีต

ปี ค.ศ. 1945 ความพ่ายแพ้มาเยือนกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นหลังจากที่หลายประเทศถูกพัวพันในสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนหน้านั้นขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังคึกคัก ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่ยิ่งใหญ่ของโลกมานานหลายศตวรรษ แต่ทางการทหารญี่ปุ่นได้หวั่นเกรงในวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณี และเมื่อญี่ปุ่นมุ่งมั่นที่จะฆ่าตัวตายในท้ายที่สุด นโยบายที่คิดจะรุกรานผนวกหลายประเทศในเอเชียช่วงทศวรรษที่ 30 ความเป็นชาตินิยมได้คุกรุ่นตัวผู้นำประเทศ ความคิดที่เป็นภัยของความเหนือกว่าทางเชื้อชาติได้เริ่มต้นขึ้น

ในสายตาของชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ไม่คิดว่าจักรวรรดิแห่งพระอาทิตย์จะพบกับความพ่ายแพ้อย่างคาดไม่ถึง แต่ภาพซากปรักหักพังของญี่ปุ่นในปี 1946 ยืนยันความบอบช้ำของพวกเขาพระราชกรณียกิจของจักรพรรดิโชวะ คือการออกเสด็จเยี่ยมเยือนสภาพบ้านเมืองและประชาชนของพระองค์ เพื่อรับรู้ถึงผลกระทบของสงครามและตระหนักว่าญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับกลียุคหรือช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก ภูมิทัศน์ทั้งหลายถูกทำลาย ความอัปยศอดสูของการเป็นประเทศแพ้สงครามรายรอบญี่ปุ่น ภาพของการสูญเสียในระดับที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้

ญี่ปุ่นฟื้นตัวจากประเทศสงครามได้ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา และกลับมาเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจได้อีกครั้ง จักรพรรดิญี่ปุ่นได้หายไปพร้อมกับตำนานที่ว่าญี่ปุ่นเหนือกว่าทางเชื้อชาติ การทหาร และวัฒนธรรม ทั้งหมดเป็นเรื่องราวของบทสรุปที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงคราม

จักรพรรดิโชวะแห่งญี่ปุ่น ระหว่างการออกเสด็จเยี่ยมเยือนสภาพบ้านเมืองและประชาชนของพระองค์
เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สิ้นสุดสงคราม เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 1946

วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ภาพมุมกว้างของการปฏิวัติทางวัฒนธรรมครั้งสำคัญของจีน

ประชาชนจีนกว่าหลายพันคนรวมตัวชุมชนหน้าจัตุรัสในเมืองฮาร์บิน เพื่อสนับสนุนแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์ของเหมาเจ๋อตุง เมื่อวันที่ 13 กันยายน ปี 1966



บทความจะนำเสนอพร้อมภาพถ่ายที่บอกเล่าเรื่องราวของการปฏิวัติครั้งสำคัญในจีน ช่วงปลายยุค 60's ภาพถ่ายเหล่านี้จะบอกเล่าเรื่องราวครั้งสำคัญ ภาพถ่ายเหล่านี้จะเป็นพยานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของทศวรรษแห่งความวุ่นวายและการเปลี่ยนครั้งใหญ่นี้ เมื่อการปฏิวัติทางวัฒนธรรมเริ่มต้นทางการของเหมา เจ๋อตงประกาศ ให้ทุกคนเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงและการเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งใหญ่ และได้สร้างความตื่นเต้นอย่างมากกับประชาชนชาวจีน ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหว และยุคของการเปลี่ยนแปลงจากระบบศักดินาที่ล้าหลังสู่ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ก็เริ่มต้นขึ้น

นานกว่าหลายปีที่จีนทุกปกครองโดยราชวงศ์ที่ทุจริตและอ่อนแอ ประเทศทุกแบ่งออกเป็นส่วน ๆ แต่เมื่อราชวงศ์ถูกล้มล้าง โดยขบวนการสาธารณรัฐใหม่ ซึ่งนำโดยพรรคก๊กมินตั๋งหรือจีนธนชาติ จากประเทศที่มีการปกครองแบบศักดินา คนรวยจำนวนน้อยอยู่อย่างสุขสบายแต่คนอีกหลายล้านของประเทศแทบเอาชีวิตไม่รอด ในชนบทเจ้าของที่ดินระบอบศักดินาจะทำตัวเช่นจักรพรรดิ รีดไถ่ภาษีคนทำงานอย่างทารุน มีกบฏชาวนาเกิดขึ้นบ่อยครั้งและก็มักถูกปราบปรามอย่างทารุณ ชีวิตทั้งตากตำและโหดร้าย เหมาเล็งเห็นการพัฒนายังกระจุกอยู่แต่ในตัวเมือง ไม่ได้กระจายออกสู่ชนบทอย่างแท้จริง จึงทำให้เกิดการแบ่งแยกระหว่างเมืองและชนบทขึ้น ประกอบกับกลไกการทำงานของรัฐซึ่งมีลักษณะเหมือนระบบขุนนาง และกลไกของพรรคที่เป็นแบบรวมศูนย์มากเกินไป



เหมาได้เข้าร่วมการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของประเทศ ระหว่างที่เขาเข้าฝึกอบรมวิชาชีพครูอยู่ในวิทยาลัย เขาได้แสดงท่าทีการสนับสนุนการปฎิวัติด้วยการตัดหางเปีย ซึ่งไว้กันตามธรรมเนียมเก่าของจีนออก ในช่วงขณะที่เขาได้ทำงานเป็นครูฝึกสอนนี้เอง เขาก็ได้คลุกคลีกับเหล่านักศึกษาและได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์ในรัสเซีย เขารู้สึกมีความสนใจอย่างมากทำให้เขาเล็งเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของคนรากหญ้าที่ถูกเหยียบย่ำ เหมาเริ่มชูประเด็นการพัฒนาในชนบทโดยรณรงค์ให้มีการศึกษา ต่อต้านสมาชิกที่ฝักใฝ่ทุนนิยมและจัดตั้งระบบคอมมูน ในแนวคิดที่ว่าทรัพย์สินทุกอย่างต้องเป็นของรัฐตามอุดมการณ์ของเขา เหมาได้แรงสนับสนุนอย่างมากจากชาวนาที่ยากจนและคนชนชั้นกลาง เหมาได้เรียกร้องจากชาวนามาเข้าคอมมูนเพื่อหาทางเพิ่มผลผลิตในภาคการเกษตร เหมาได้กระจายความคิดระบบคอมมูนไปยังชนบทต่าง ๆ


ไม่นานหลังจากนั้นเขาได้สร้างกองทัพขึ้น และได้พเนจรไปยังที่ต่าง ๆ เพื่อกระจายแนวคิดของเขา แนวคิดคอมมิวนิสต์เป็นภัยคุกคามที่รัฐบาลไม่อาจเพิกเฉยไว้ได้ มีการปะทะกันในที่สุดและฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็ไม่สามารถต่อกรได้แม้แต่น้อย การต่อสู้ของทางการกับฝ่ายคอมมิวนิสต์เริ่มรุนแรงขึ้น จนฝ่ายคอมมิวนิสต์ต้องหลบหนี 

ต่อมาศัตรูเก่าของจีนคือญี่ปุ่นเริ่มเข้ามาและทารุนชาวจีนอย่างโหดร้าย เหมายื่นข้อเสนอขับไล่ชาวต่างชาติกับทางการและให้พวกเขาหยุดยิงฝ่ายคอมมิวนิสต์ของตน นับเป็นข้อตกลงที่สำคัญและฉลาดมาก ช่วงยุคสงครามโลกครั้งที่สอง จีนและญี่ปุ่นถูกดึงให้ร่วมรบไปกับสงคราม อเมริกาส่งอาวุธสนับสนุนจีน และฝ่ายคอมมิวนิสต์ของเหมาก็เข้มแข็งขึ้นได้มียุธโทปกรณ์เพียบพร้อมกว่าที่เคย ค.ศ. 1949 หลังจากต่อสู้กับกองทัพของทางการอย่างต่อเนื่องกองโจรคอมมิวนิสต์ของเหมา ก็ขยายครอบคลุมไปทั่วประเทศและเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงปักกิ่งในที่สุด การปฏิวัติของชาวนาได้รับชัยชนะในที่สุด วันนี้ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน เหมาเจ๋อตุง ได้ประกาศตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นอันสิ้นสุด 30 ปีแห่งสงครามกลางเมืองโดยเหมาได้ประกาศว่า “ณ วันนี้ สาธารณะรัฐประชาชนจีน ศูนย์กลางอำนาจของประชาชนได้ก่อตั้งขึ้นแล้ว”

เจ้าของที่ดินศักดินา ถูกประจารต่อหน้าสาธารณชน


เหมารักษาสัญญาที่ให้ไว้กับชาวนาด้วยการปฎิรูปที่ดิน ด้วยการยึดที่ดินจากเจ้าของเดิมศึกดินาและจัดแบ่งให้กับผู้ทำงานในผืนดินแห่งนั้น

มีการจัดตั้งกลุ่มยุวชนแดงหรือหงเว้ยปิง กลุ่มประชาชนที่มีความเชื่อลัทธิที่เกี่ยวกับเหมา และเป็นพวกหัวรุนแรงจะทำร้ายคนที่มีความ เห็นแตกต่าง เหมาลงโทษ ยุวชนแดงด้วยการให้ทำไร่ ทำสวน เพื่อให้รู้ถึงความยากลำบาก

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

สงครามเย็น สงครามจิตวิทยาที่ใช้คำโฆษณาชวนเชื่อ

ต่างฝ่ายต่างข่มขวัญกับด้วยกองกำลังทหาร
         
                  สงครามเย็น (Cold War) ระหว่าง ค.ศ. 1947-1991) เป็นการต่อสู้กันระหว่างกลุ่มประเทศ 2 กลุ่ม ที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองและระบอบการเมืองต่างกัน เกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ฝ่ายหนึ่งคือสหภาพโซเวียตที่ต้องการให้ทฤษฎีโดมิโนเกิดขึ้นจากกรณีการขยายตัวของลัทธิและระบอบคอมมิวนิสต์ไปในเอเชีย เรียกว่า ค่ายตะวันออกซึ่งปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ อีกฝ่ายหนึ่ง คือ สหรัฐอเมริกาและกลุ่มพันธมิตร เรียกว่า ค่ายตะวันตก ซึ่งปกครองด้วยระบอบเสรีประชาธิปไตย ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวทั้งสองฝ่ายได้แข่งขันในด้านการสะสมอาวุธ เทคโนโลยีอวกาศ การจารกรรม เศรษฐกิจ และทำสงครามผ่านสงครามตัวแทน เพื่อหาประเทศที่มีอุดมการณ์คล้ายคลึงกันมาเป็นเครื่องถ่วงดุลอำนาจกับฝ่ายตรงข้าม

                  หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ. 1945 ทั่วทั้งยุโรปอยู่ในสภาพบอบช้ำจากสงคราม เยอรมนีในสภาพแพ้สงครามนั้นลำบาก น่าสงสาร ภายหลังกองทัพนาซีเยอรมัน ภายใต้การนำของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้พ่ายในสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้นำตัวฉกาจก็มีคำสั่งประหาร หรือหลบหนีไปได้ กองทัพสัมพันธมิตรได้เข้ายึดครองประเทศเยอรมัน และต่อมา 4 ประเทศมหาอำนาจที่เป็นแกนนำในสงครามครั้งนั้น ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส และสหภาพโซเวียต เพื่อจับตาดูว่าเยอรมันจะเป็นภัยหรือคิดการใหญ่ต่อโลกอีกหรือไม่ ได้ทำสนธิสัญญาในการแบ่งการดูแลประเทศเยอรมันออกเป็น 4 ส่วนภายใต้การดูแลของแต่ละประเทศ และเช่นกัน นครเบอร์ลิน เมืองหลวงของประเทศ ก็เช่นกันถูกแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 4 ส่วนเช่นเดียวกัน ในกลุ่มที่ปกครองเยอรมันตะวันตกไม่มีปัญหาเท่าไหร มีแต่เร่งฟื้นตัวส่งผลดีต่อเยอรมณี ทั้งนั้น แต่ในส่วนของการปกครองโดยสหภาพโซเวียต ไม่ได้สนใจเรื่องเศรฐกิจมากนัก ปลูกฝังแต่อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ สหรัฐอเมริกาดูท่าทีของสหภาพโซเวียต จนเกรงว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์ นั้นจะแพร่กระจายไปหลายประเทศ นักวิชาการของอเมริกาเสนอแผนให้ประธานาธิบดี ทรูแมน ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ ประเทศในยุโรปที่ได้รับความลำบากจากสงคราม สนับสนุนปัญหา เศรษฐกิจ ปัญหาความอดยาก เพื่อให้ได้คะแนนเสียงจากพวกโลกเสรี สหภาพโซเวียตจับตามองความเคลื่อนไหวของสหรัฐอเมริกา อย่างไม่พอใจ ได้สร้างกำแพงเพื่อปิดกั้นพรมแดนเบอร์ลินตะวันตกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมันตะวันตกที่ปกครองโดยกลุ่มโลกเสรี ออกจากเยอรมนีตะวันออก ที่โซเวียตปกครอง ด้วยหลักคอมมิวนิสต์
ภาพทฤษฎีโดมิโนเกิดขึ้นจากกรณีการขยายตัวของลัทธและระบอบคอมมิวนิสต์ไปในเอเชีย 


                  สงครามเย็นอยู่ภาวะตรึงเคลียดสุดขีด ประเทศมหาอำนาจทั้ง 2 ฝ่ายต่างแข่งขันกัน ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวทั้งสองฝ่ายได้แข่งขันในด้านการสะสมอาวุธ เทคโนโลยีอวกาศ การจารกรรม เศรษฐกิจ และทำสงครามผ่านสงครามตัวแทน เพื่อหาประเทศที่มีอุดมการณ์คล้ายคลึงกันมาเป็นเครื่องถ่วงดุลอำนาจกับฝ่ายตรงข้าม โดยพยายามสร้างแสนยานุภาพทางการทหารของตนไว้ข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม โดยประเทศมหาอำนาจจะไม่ทำสงครามกันโดยตรง แต่จะสนับสนุนให้ประเทศพันธมิตรของตนเข้าทำสงครามแทน หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสงครามตัวแทน (Proxy War) เหตุที่เรียก สงครามเย็น เนื่องจากเป็นการต่อสู้กันระหว่างมหาอำนาจ โดยใช้จิตวิทยา ไม่ได้นำพาไปสู่การต่อสู้ด้วยกำลังทหารโดยตรง 

                    สหภาพโซเวียตที่ต้องการให้ทฤษฎีโดมิโนเกิดขึ้นจากกรณีการขยายตัวของลัทธิและระบอบคอมมิวนิสต์ไปในเอเชีย โดยเริ่มจากจีน เกาหลี เวียดนาม ไทย มาเลเซีย อินโดนิเซีย ลงมา เรียกว่า ค่ายตะวันออกซึ่งปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ สหรัฐอเมริกาตกอยู่ในที่นั่งลำบากเมื่อจีนมหาอำนาจอีกประเทศของโลกประกาศเป็นคอมมิวนิสต์ และสงครามเวียดนามสมรภูมิที่สำคัญ ตัดสินแพ้ชนะ เมื่อฝ่ายคอมมิวนิสต์ สหภาพโซเวียต สนับสนุน เวียดนามเหนือเต็มที่ ทั้งด้านเศรษฐกิจ ปัญหาภายในประเทศเวียดนาม ส่วนกลุ่มโลกเสรีประชาธิปไตย สหรัฐอเมริกาก็ให้ความช่วยเหลือ เวียดนามใต้ โดยใช้ไทยเป็นฐานทัพ การสิ้นสุดของทศวรรษ 1980  เป็นการสิ้นสุดของยุคสมัยแห่ง “สงครามเย็น” ซึ่งดำเนินมาเป็นเวลาเกือบครึ่งศตวรรษภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้การขัดแย้งทางอุดมการณ์และการแข่งขันกันเป็นผู้นำของโลกระหว่างสหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียตสิ้นสุดลง  สืบเนื่องมาจากการล่มสลายของระบบการปกครองคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกและความเปลี่ยนแปลงในสหภาพโซเวียต  อันเป็นผลมาจากนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจและ การปรับเปลี่ยนนโยบายดังกล่าวทำให้เกิดความไม่พอใจ ในกลุ่มผู้นำคอมมิวนิสต์หัวเก่าและนำไปสู่การปฏิวัติที่ล้มเหลว  การหมดอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์  ประเทศบริวารของสหภาพ โซเวียตในยุโรปตะวันออก ต่างแยกตัวเป็นอิสระและท้ายที่สุดรัฐต่างๆ ในสหภาพโซเวียตต่างแยกตัวเป็นประเทศอิสระปกครองตน และการทำลายกำแพงเบอร์ลิน เป็นสัญญาณสิ้นสุดสงครามเย็นอย่างแท้จริง


การทำลายกำแพงเบอร์ลิน เป็นสัญญาณสิ้นสุดสงครามเย็นอย่างแท้จริง

วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555

นักรบที่มีคุณธรรม เก่งกล้าและมีเกียรติ ในนามอัศวิน

               
              อัศวิน (Knight) คือนักรบผู้สวมเกราะ ขี่ม้า ถือดาบ และต่อสู้โดยมีจุดประสงค์เพื่อปกป้องอาณาจักร ศาสนา กษิตริย์ หรือหญิงงามในดวงใจ อัศวินเป็นชนชั้นทางสังคมที่อยู่เหนือชาวนา แต่ต้อยต่ำกว่าขุนนาง แต่ภายหลังปี ค.ศ. 1200 ช่องว่างระหว่างชนชั้นอัศวินกับขุนนางก็สิ้นสุดลง เมื่อสิ้นสุดสมัยกลาง อัศวินและขุนนางก็เป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในชนชั้นสูง

              อัศวินมีหลักการซึ่งเรียกว่า "หลักวีรคติ" กำกับความเป็นอัศวิน จึงทำให้มีความพิเศษมากกว่านักรบบนหลังม้า อัศวินที่แท้จริง คือนักรบในนามของศาสนาคริสต์ซึ่งดำเนินตามหลักคำสอนของคริสต์ศาสนาอย่างเคร่งครัด เช่น การช่วยเหลือผู้อ่อนแอ หรือปกครองศาสนา เป็นต้น อัศวินกำเนิดขึ้นในยุคมืด ของยุคกลาง ช่วงต้นศตวรรษที่ 5 ถึงศตวรรษที่ 10 ซึ่งเป็นช่วงที่ยุโรปวุ่นวายถึงที่สุดเมื่อจักรวรรดิโรมัน ล่มสลายจากการรุกรานของชนเผ่าป่าเถื่อน ในปี ค.ศ. 476

เส้นทางสู่การเป็นอัศวิน ผู้มีเกียรติ

              การเป็นอัศวินนั้น ต้องมีเงื่อนไขของในสายเลือด เนื่องจากถ้าไม่มีบรรพบุรุษเป็นขุนนางที่ทรงศักดิ์ หรือเป็นอัศวินนั้นก็อาจไม่ถูกเลือกเป็น การเป็นอัศวินต้องเริ่มตั้งแต่ 7 ขวบ เด็กในตระกูลขุนนางที่อยากเป็นอัศวินจะถูกส่งไปเป็นเด็กรับใช้อัศวิน เรียกว่า เพจ (Page) จะเริ่มฝึกฝนจากขั้นพื้นฐาน พอฝึกจนครบอายุ 14 ปี ก็จะเลื่อนขึ้นเป็นทหารรับใช้ หรือ สไควร์ (Squire) ซึ่งต้องศึกษาเรื่องของการรบ การขี่ม้า เล่นหมากรุก และต้องคอยติดตามรับใช้ เจ้านายในสนามรบ คอยขัดเกาะ ลับดาบให้เจ้านาย

              พออายุได้ 21 ก็จะได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวิน (Knight) โดยจะมีการประกอบพิธีแต่งตั้งในโบสถ์ กล่าวคำสาบาน และจะได้รับการแต่งตั้งจากผู้เป็นนาย ขุนนางที่มียศฐาบรรดาศักดิ์ พระราชา หรือพระราชิณี โดยการแต่งดาบที่บ่าและหัว อันเป็นว่าได้รับการแต่งตั้งเป็น อัศวินอย่างสมบูรณ์




ศึกการประลองของอัศวิน 

              การประลองยุทธ์คือการที่อัศวินสองคนควบม้า กระชับทวนเข้าหากัน เพื่อดวลกันด้วยการแทงทวน เข้าใส่ฝ่ายตรงข้าม ถือว่าเป็นการซ้อมอย่างหนึ่งของอัศวิน และยังเป็นการหาเงินหรือสร้างชื่อเสียงไปด้วย เงินก็ได้จากรางวัลในการประลอง หรือเดิมพันส่วนตัว ส่วนชื่อเสียงจะทำให้ได้ที่ดินทำให้ยศสูงขึ้น แต่การประลองยุทธ์อาจทำให้ได้รับบาดเจ็บต่าง ๆ เช่นตกม้า หรือทวนทะลุเกราะ




หลักวีรคติที่อัศวินยึดมั่น

              หลักวีรคติ คือหลักการปฎิบัติตัวของอัศวินที่เกิดขึ้นเพื่อควบคุมพฤติกรรมของนักรบเพื่อไม่ให้ปฎิบัติตนออกนอกลู่นอกทางของอาณาจักรและศาสนจักร ต้องปฎิบัติตามหลักคือ จะต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่ศาสนจักรสอนและปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด ต้องปกป้องศาสนจักร ต้องเอาใจใส่ผู้อ่อนแอและปกป้องพวกพ้อง ต้องรักแผ่นดินเกิดของตน ต้องทำสงครามกับพวกนอกศาสนา  จะต้องรักษาคำพูดของตน จะต้องเป็นผู้ผดุงความถูกต้องและความดีงาม


หรูหรา ฟูฟ่า และฟุ่ยเฟือย ชีวิตอัศวินในวันรุ่งโรจน์


"ภาพการสู้รบของอัศวิน"

              ในคริสต์ศตวรรษที่ 11-13 หรือยุคที่เรียกว่า "ศักดินาสวามิภักดิ์" ซึ่งเป็นยุคทองของอัศวินโดยแท้จริง เพราะยุโรปกลายเป็นแคล้นเล็กแคล้นน้อย ภายใต้ระบบการปกครองของขุนนางต่าง ๆ ทำให้เกิดสงครามบ่อยขึ้น กองกำลังอัศวินจึงมีความจำเป็น เพื่อใช้คุ้มครองผู้คนพื้นดินต่าง ๆ บทบาทของอัศวินมีมากจนก่อให้เกิดวรรณกรรมต่าง ๆ มากมายเช่น "บทเพลงแห่งโรลองด์" และเนื่องจากการจะได้รับแต่งตั้งเป็นอัศวิน จะต้องมีบิดา บรรพบุรุษเป็นขุนนางที่ทรงศักดิ์ หรือเป็นอัศวินเท่านั้น ทำให้อัศวินในสังคมยุคนั้นมีน้อย เพราะต้องสืบสายเลือดกันอยู่ในชนชั้นสูงของตนเอง และเพราะเป็นคนกลุ่มน้อยทำให้ครอบครองที่ดินมากมาย มีทรัพย์สินมั่งคั่ง เป็นผลให้อัศวินส่วนใหญ่มีความเป็นอยู่อย่างหรูหรา ฟุ่มเฟือย มีชีวิตที่น่าตื่นเต้น สนุกสนาน ใช้เวลาส่วนใหญ่กับการรบ ล่าสัตว์ เลี้ยงฉลอง หรือร่วมงานรื่นเรงต่าง ๆ

ยุคเสื่อมถอยของอัศวิน

              เมื่อมีการฝึกฝนพลราบถือทวนยาวและพลธนูมาใช้ในสงคราม และอัศวินเริ่มหมดความสำคัญเมื่อมีปืนไฟเข้ามาใช้ในการรบ เพราะปืนไฟใช้งานง่าย ฝึกใช้ไม่ยาก ขณะที่การฝึกอัศวินนั้นใช้เวลานาน และต้องใช้ต้นทุนทางเวลาและทรัพย์สินอีกมาก ดั้งนั้น หลังจากมีการใช้ปืนไฟ ยุคของอัศวินในสงครามก็จบลง แต่ในปัจจุปัน อัศวินยังเป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติ บ่งบอกคุณงามความดีเพื่อชาติ อย่างในอังกฤษก่อตั้งยศเซอร์ โดยไม่จำเป็นต้องสู่รบอีกต่อไป เช่น เซอร์ไอแซก นิวตัน ผู้คิดค้นทฤษฎีแรงโน้มถ่วง เซอร์ เอลตัน จอห์น และ เซอร์พอล แมคคาร์ทนีย์ นักดนตรีระดับโลก เซอร์ แมตต์ บัสบี และเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด


วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อินเดียนแดง ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และเจ้าของถิ่นเดิมในดินแดนอเมริกา


อินเดียนแดง ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Indian หรือ Native American โดยในอดีตได้ใช้คำว่า Red Indian แต่ได้เลิกใช้แล้วโดยถือว่าเป็นคำไม่สุภาพ คือชื่อเรียกชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกา ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นชนเผ่า ที่อาศัยอยู่ในอเมริกาเหนือ แคนาดา เม็กซิโก ไปจนถึงอเมริกาใต้ อย่าง บลาซิล เปรู สันนิษฐานว่าบรรพบุรุษของพวกเขาเป็นกลุ่มคนจากเอเชียที่อพยพเข้าไปประมาณ 20,000 ปีที่แล้ว เนื่องจากมีลักษณะรูปร่างหน้าตาคล้ายคนเอเชียใต้ ที่มาของชื่อ อินเดียนแดง ถูกเรียกมาจาก คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักสำรวจ นักเดินเรือ ชาวเจนัว ที่ครั้งหนึ่งเขาได้ออกสำรวจทางทะเลเพื่อค้นหาเส้นทางเรือที่ใช้ติดต่อการค้ากับเอเชีย และเล่นเรือไปจนเจอหมู่เกาะทะเลในแคริเบียน แต่กลับเข้าใจผิดคิดว่านี้เป็นดินแดนอินเดีย

วิถีชีวิตและความเชื่อของอินเดียนแดง


ชาวอินเดียนแดงในทวีปอเมริกาจะอยู่ร่วมกันเป็นเผ่ากระจายอยู่ทั่วประเทศ แต่จะตั้งถิ่นฐานกันหนาแน่นบริเวณแม่น้ำามิสซิสซิปปี ที่อยู่ตอนกลางของสหรัฐอเมริกา ซึ่งพวกเขาจะมีสภาพการดำรงชีวิตแบบเรียบง่าย ชาวอินเดียนแดงนั้นผูกพันกับธรรมชาติอย่างแนบแน่น ทำไร่ ปลูกข้าวโพด (ชาวอินเดียนแดงเป็นผู้คิดค้นป็อปคอร์น) มันฝรั่ง ใบยาสูบ ถั่ว ล่าสัตว์ เพื่อนำเนื้อไปเป็นอาหารและใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม ทำการประมง โดยใช้เรือแคนู จับปลา สร้างกระโจมที่ทำจากหนังสัตว์เป็นที่อยู่อาศัย อินเดียนแดงมีความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณและเหนือธรรมชาติ ใช้ไสยศาสตร์ในการรักษาโรค ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เช่นเต้นบูชาผี เพื่อขับไล่ชาวอาณานิคมยุโรป อินเดียนแดง เชื่อว่าโลกนี้ มิใช่ของมนุษย์ มนุษย์ต่างหากที่เป็นสมบัติของโลก จำต้องปฏิบัติต่อทุกสิ่งในโลก อย่างให้เกียรติ เพราะถ้าไม่มีสัตว์และพืช เสียสละชีวิต ให้รับประทานเป็นอาหารแล้ว เราก็ย่อมจะดำรงอยู่ไม่ได้ ผู้ใดทำลายผู้คน ทำลายธรรมชาติด้วยแล้ว หายนะจะมาเยือนผู้นั้นในไม่ช้า 


การค้นพบโลกใหม่ของอาณานิคมยุโรป และผลกระทบอันยิ่งใหญ่ต่ออินเดียนแดง 
การที่อินเดียนแดงมีหลากหลายชนเผ่า ที่อาศัยอยู่กระจายไปทั่วทวีปอเมริกานั้นทำให้พวกเขาได้ชื่อว่าเป็น เจ้าของเเผ่นดิน เลยก็ว่าได้ทว่าการพบโลกใหม่ของชาวยุโรป ทำให้ชนพื้นเมืองอินเดียนแดง ได้รับผลกระทบต่าง ๆ มากมายจนทำให้จำนวนประชากรชาวอินเดียนแดง ลดน้อยลง ต้นเหตุของสงครามเกิดขึ้นจากการที่ชาวยุโรปยึดที่ดินของชาวอินเดียนแดง เพื่อสร้างอาณานิคมของตน ลงหลักปักฐาน รุกล้ำ อาณาเขตและเอารัดเอาเปรียบชาวอินเดียแดงต่าง ๆ นานา บังคบให้เป็นทาสทำเหมืองทอง ล่าควายป่าซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวอินเดียนแดง บังคับให้ชาวอินเดียนแดง โยกย้ายไปหาถิ่นฐานใหม่ จนกระทั้งชาวอินเดียนแดง ทนแรงกดดันไม่ไหว จึงลุกขึ้น ต่อสู้ และต่อต้านชาวอาณานิคมในที่สุด แต่ชาวอินเดียนแดงก็มักเป็นฝ่ายแพ้สงครามเกือบทุกครั้งไป 

ชีวิตอินเดียนแดงหลังสงคราม

 เมื่อพ่ายแพ้สงครามให้กับอาณานิคมยุโรปบ่อยครั้ง เป็นเหตุให้พวกเขาต้องอพยมหลบหนี จนประสบเคราะห์กรรมต่าง ๆ มากมาย เกิดสงครามแย่งชิงดินแดนกันระหว่างเผ่าอินเดียนแดงด้วยกันเอง โรคไข้ทรพิษระบาด ทำให้อินเดียนแดงล้มตายกันจำนวนมาก ถูกชาวอาณานิคมต้องการขยายดินแดนเข้ามายึดครองที่ดิน อพยพไปยังภูมิประเทศที่แห้งแล้ง ทำให้เกิดภาวะอดยาด ขาดแคลนอาหาร 

เขตสงวนอินเดียน 
 เขตสงวนอินเดียน (อังกฤษ: Indian reservation) เป็นเขตในบริเวณต่างๆ สหรัฐอเมริกาที่ทางรัฐบาลสหรัฐ กำหนดให้ชาวอเมริกันอินเดียนใช้เป็นที่ตั้งถิ่นฐานตามการประกาศของรัฐบาล ให้ชาวอินเดียนแดงทุก คนย้ายเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2419 (ค.ศ. 1876) ซึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการกระทำที่โหดร้าย ทารุณต่อมนุษย์ในสหรัฐอเมริกามีประมาณ 300 เขตสงวนซึ่งบางเผ่าอาจจะมีอยู่ภายในหลายเขตสงวน โดยมี 9 เขตสงวนที่ใหญ่กว่า 5,000 กม และ 12 เขตสงวนที่มีขนาดใหญ่กว่า 3,000 กม โดยในแต่ละเขตสงวนจะมีดินแดนที่ต่างกัน รวมถึงภูมิประเทศและภูมิอากาศ พื้นดินในบางดินแดนไม่สามารถทำเกษตรกรรมได้ ในปี พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) กฎหมายที่ให้ชาวอเมริกันอินเดียนเปิดคาสิโนอย่างถูกกฎหมายผ่านสภา ซึ่งรัฐบาลสหรัฐอเมริกาหวังว่าชาวอเมริกันอินเดียนสามารถมีรายได้เพียงพอสำหรับคนในเผ่า ภายใต้ชื่อว่า "1988 Indian Gaming Regulatory Act" 

ขอบคุณเนื้อหาบางส่วนจาก หนังสือ เจาะตำนานอินเดียนแดง และ Wikipedia