วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

10 การโกหกครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์

อันดับ 1 นโยบายการถือชาติพันธุ์ของนาซี

ช่วงทศวรรษที่ 1930 ของสาธารณรัฐไวมาร์เยอรมัน มีแนวคิดความ "สะอาดทางเชื้อชาติ" ที่แบ่งแยกเชื้อชาติของพลเมืองเยอรมัน ในปี 1935 มีการเสนอกฎหมายสองฉบับ ซึ่งรู้จักกันในชื่อ "กฎหมายเนือร์นแบร์ก" นั่นคือห้ามการสมรสระหว่างผู้ที่มิใช่ยิวกับเยอรมันเชื้อสายยิว และกฎหมายกีดกันผู้ที่ "มิใช่อารยัน" จากประโยชน์ของพลเมืองเยอรมัน

สาเหตุการแบ่งแยกเชื้อชาติของขบวนการล้างชาตินาซี คือต้องการแยกชนชาติเชื้อสายอารยันและพวกที่ไม่มีเชื่อสายอารยัน โดยมุ่งเป้าหมายหลักไปยังชาวยิว การทำลายล้างชนชาติยิว จึงเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ นำพรรคนาซีขึ้นปกครองประเทศโดยชอบธรรมตามกฎหมายในปี 1933 ฮิตเลอร์โยนความผิดและปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในเยอรมันช่วงเวลานั้นว่าเป็นความผิดของชาวยิว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจตกต่ำ เหตุการณ์ไฟไหม้ การที่เยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และปัญหาต่าง ๆ อีกร้อยพันประการ รวมถึงหนึ่งในคำกล่าวหาที่อุกอาจนั่นย้อนไปถึงยุคกลางที่อ้างว่า ชาวยิวมีส่วนร่วมในการสังหารเด็กทารกในพิธีกรรมทางศาสนา เพื่อนำเลือดของพวกเขามารับประทานกับขนมปัง

ชาวยิวในเวลานั้นถูกกดขี่ข่มเหงในทุกรูปแบบ พรรคนาซีได้ออกกฎหมายกว่า 400 มาตราเพื่อริดรอนสิทธิชาวยิว เช่นชาวยิวไม่สามารถเป็นเจ้าของที่ดินเพาะปลูกในเยอรมันได้ กิจการร้านค้าของชาวยิวโดนรัฐบาลเยอรมันสั่งปิด นอกจากนี้นาซียังออกกฎหมายสั่งปลดประชากรเชื้อสายที่ไม่ใช่ชาวอารยันออกจากงาน ในเวลานั้นชาวยิวหลายคนที่อยู่ผิดที่ผิดเวลาโดนทุบตีทำร้ายจนบางครั้งถึงเสียชีวิต

คำกล่าวหาเหล่านี้นำไปสู่การพันธุฆาตหรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในที่สุด ชนชาติยิวร่วม 6 ล้านคนถูกสังหารหมู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง จากการสนับสนุนของรัฐที่นำโดยอดอล์ฟ ฮิตเลอร์และพรรคนาซี นับเป็นหนึ่งในคำโฆษณาชวนเชื่อที่หลอกลวงครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์

อันดับ 2 คดีอื้อฉาววอเตอร์เกต

ประธานาธิบดีนิกสันขณะเดินทางออกจากทำเนียบขาว
ไม่นานก่อนการลาออกมีผลบังคับใช้ ณ วันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1974
คดีวอเตอร์เกต คือเหตุอื้อฉาวทางการเมือง ที่เป็นเรื่องอัปยศของชาวอเมริกัน ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1970 เหตุการณ์สืบเนื่องมาจากการลักลอบโจรกรรมในสำนักงานใหญ่ของพรรคเดโมแครต ณ อาคารวอเตอร์เกต ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 1972

เหตุอื้อฉาวเริ่มต้นขึ้นด้วยการจับกุมชายห้าคนในคดีลักลอบโจรกรรมข้อมูลในที่ทำการใหญ่พรรคเดโมแครต เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 1972 โดยสำนักงานสอบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (FBI) เชื่อมโยงเส้นทางการเงินของคนร้ายทั้งห้าคนจนสาวไปถึงกองทุนหนึ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มระดมทุนสำหรับการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สองของนิกสัน ขณะที่หลักฐานทั้งหมดพุ่งชี้ไปยังคณะทำงานของประธานาธิบดี

ขณะที่คณะทำงานของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน พยายามปกปิดหลักฐานนี้ ถึงการข้องเกี่ยวในเหตุโจรกรรมดังกล่าว นำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งของระธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ในวันที่ 9 สิงหาคม 1972 คดีวอเตอร์เกตนี้นับเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่สะเทือนใจชาวอเมริกันอย่างมาก เพราะมันได้ทำลายแนวคิดที่ยึดมั่นในเสรีภาพและสิทธมนุษยชน และระบบประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ ที่ทั้งหมดเป็นเพียงภาพจอมปลอมที่สร้างขึ้นของริชาร์ด นิกสัน








อันดับ 3 ความสัมพันธ์ลับของประธานาธิบดี บิล คลินตันกับสาวฝึกงานในทําเนียบขาว


บิล คลินตันและฮิลลารีภรรยาของเขา
กรณีข่าวอื้อฉาวไม่ใช่มีแต่เฉพาะนักแสดง ผู้กำกับ หรือในละคร เพราะนี้คือเรื่องลับ ๆ ของผู้บริหารระดับประเทศ เมื่อประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาอย่างบิล คลินตันถูกเปิดโป้งและขุดคุ้ยเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวครั้งใหญ่ถึงความสัมพันธ์ลับของเขากับเด็กฝึกงานสาวชื่อมนิก้าลูวินสกี้ ในทําเนียบขาว ประธานาธิบดีปฏิเสธข้อกล่าวหาความสัมพันธ์นี้ ทว่ามีการค้นพบจดหมายที่เขาเขียน และเทปเสียงที่ดักฟังทางโทรศัพท์ของเขา ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญในการมัดตัวครั้งนี้

อันดับ 4 กรณีเหตุการณ์เดรย์ฟุส ที่ส่งผลให้เกิดความแตกแยกทางการเมืองและสังคมในฝรั่งเศส


ภาพวาด "การถอดยศอัลเฟรด เดรฟุส"

เหตุการณ์เดรย์ฟุส คือหนึ่งในวิกฤตการณ์ทางการเมืองและสังคมในสมัยสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 ซึ่งเริ่มขึ้นในปี 1894 จนถึงปี 1906 เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างสถาบันหลักทางการปกครองและสังคมฝรั่งเศส จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ นี้สืบเนื่องมาจากคดีเดรฟุส เมื่อร้อยเอกอัลเฟรด เดรฟุส นายทหารประจำกรมเสนาธิการถูกจับกุมในข้อหาทรยศต่อชาติ เพราะขายความลับทางการทหารให้แก่พันเอกมากซ์ ฟอน ชวาทซ์คอพเพิน (Max von Schwartzkoppen) ผู้ช่วยทูตทหารบกเยอรมันประจำฝรั่งเศส ด้วยเหตุที่เดรฟุส เป็นนักสาธารณรัฐนิยมและเป็นชาวฝรั่งเศสเชื้อสายยิว ซึ่งอพยพมาจากแคว้นอัลซาซ (แคว้นที่เคยอยู่ในการปกครองของเยอรมัน)

ปัญหาทางเชื้อชาติของเดรฟุสทำให้มีมูลเหตุสำคัญที่ทำให้มหาชนเชื่อว่า เขาคือชาวยิวที่ทรยศต่อฝั่งเศส มีการไต่สวนความผิดโดยเป็นความลับทางทหาร ซึ่งทางการทหารได้แสดงเอกสารลับสำคัญที่อ้างว่าเป็นหลักฐานมัดตัวและยืนยันความผิดของเดรฟุส โดยที่เขาและทนายไม่มีโอกาสแม้เห็นเอกสารดังกล่าว ทำให้มีมติเนรเทศเขาไปอยู่แคว้นโดดเดี่ยวเฟรนช์เกียนา ทางทวีปอเมริกาใต้

คดีได้เริ่มจางหายไปจากความสนใจของผู้คน ต่อมาพันเอกชอร์เช ปีคการ์ (Georger Picquart) ได้รับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับคนใหม่ ทำให้เขารู้ว่าการเนรเทศของเดรฟุสไม่ได้รับความยุติธรรม จึงพยายามเรียกร้องให้มีการสืบสวนใหม่ แม้ว่าชาวฝรั่งเศสส่วนใหญ่ยังไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องให้มีการรื้อฟื้นคดีนี้ แต่นักการเมืองและปัญญาชนฝ่ายสาธารณรัฐนิยมก็เริ่มให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากขึ้น ต่อมาเพื่อให้เรื่องยุติกองทัพจึงยืนยันความถูกต้องและอำนาจของตน ในขณะเดียวกันปีการ์ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งไป





อันดับ 5 พิลท์ดาวน์แมน หลักฐานปลอมที่เชื่อมโยงทฤษฎีมนุษย์ครึ่งคนครึ่งลิง และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และลิงถึงการสันนิษฐานว่ามีบรรพบุรุษร่วมกัน


อัลแวน ที.มาร์สตัน ผู้พิสูจน์ว่ากะโหลกพิลท์ดาวน์ไม่ใช่ของจริง
ได้แสดงให้เห็นว่าฟันของชิมแปนซีนั้นตรงกับกะโหลกดังกล่าวอย่างไร

หลังจากชาลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ผู้ปฏิวัติความเชื่อเดิม ๆ เกี่ยวกับที่มาของสิ่งมีชีวิต และเสนอทฤษฎีซึ่งเป็นทั้งรากฐานของทฤษฎีวิวัฒนาการสมัยใหม่ ทำให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่มีความต้องการที่จะรวบรวมหาหลักฐานซากฟอสซิลของบรรพบุรุษ หรือนิยามการศึกษาเรื่องนี้ว่า "การเชื่อมโยงที่หายไป" ในช่วงระยะเวลาของการวิวัฒนาการมนุษย์ ตามทฤษฎีวิวัฒนาการ มนุษย์ไม่ได้วิวัฒนาการมาจากลิง แต่มนุษย์กับลิงเคยมีบรรพบุรุษร่วมกันมาก่อน ซึ่งบรรพบุรุษร่วมนั้นได้สูญพันธุ์ไปแล้ว จึงไม่มีใครทราบว่าจุดเชื่อมโยงระหว่างคนกับลิงมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร

ในปี 1910 เมื่อ ชาร์ลส์ ดอว์สัน (Charles Dawson) นักโบราณคดีค้นพบสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นการเชื่อมโยงส่วนที่หายไป  ซึ่งแท้จริงแล้วสิ่งที่เขาพบจริงแล้วเป็นหนึ่งในการหลอกลวงครั้งใหญ่ของประวัติศาสตร์ จากการค้นพบเศษกะโหลกคล้ายของมนุษย์และขากรรไกรคล้ายของลิงไม่มีหางในหลุมกรวดที่เมืองพิลท์ดาวน์ ประเทศอังกฤษ ได้นำมาประกอบกะโหลกและขากรรไกรเข้าด้วยกัน แต่ในปี 1953 กลายเป็นว่าสิ่งที่ค้นพบนั้น ไม่ใช่หลักฐานการเชื่อมโยงระหว่างคนกับลิง หากแต่เป็นงานของคนทำปลอมขึ้นมาได้เหมือนจริงมากเท่านั้น โดยกะโหลกเป็นของมนุษย์ในยุคกลาง ส่วนขากรรไกรเป็นของอุรังอุตัง และฟันเป็นของชิมแปนซี







อันดับ 6  การปล่อยข่าวลือแผนการลอบปลงพระชนม์พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ของนักบวชไททัส โอตส์

ภาพวาดของนักบวชไททัส โอตส์บนหลักประหาร

การคบคิดพ็อพพิช เป็นข่าวลือที่ไม่มีมูลสร้างขึ้นโดยไททัส โอตส์ (Titus Oates) บาทหลวงชาวอังกฤษฝ่ายโรมันคาทอลิก ระหว่างปี ค.ศ. 1678 ถึงปี ค.ศ. 1681 โดยเขาอ้างว่ามีการคบคิดกันอยู่ในหมู่ผู้นับถือโรมันคาทอลิกถึงแผนการที่จะปลงพระชนม์พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2

ข่าวลือนี้ส่งผลทำให้มีผู้ถูกจับและถูกประหารชีวิตไปอย่างน้อย 15 คน นำไปสู่การร่างพระราชบัญญัติการยกเว้นผู้สืบราชบัลลังก์ ภายหลังการสืบสวนอันซับซ้อนของโอตส์ก็เป็นที่เปิดเผยซึ่งทำให้ถูกจับในข้อหาการสร้างเรื่องเท็จ ทำให้ประชาชนเกิดมีความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อโรมันคาทอลิกอย่างรุนแรงไปทั่วราชอาณาจักรอังกฤษ

อันดับ 7 การอ้างตัวเป็นเจ้าหญิงอะนัสตาซียาแห่งราชวงศ์รามานาฟของแอนนา แอนเดอร์สัน


ภาพเปรียบของเจ้าหญิงอะนัสตาซียาและแอนนา แอนเดอร์สัน

ช่วงการปฏิวัติบอลเชวิกของรัสเซียในปี 1917 ซึ่งได้ทำลายระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของรัสเซียลงไปอย่างสิ้นเชิง นำไปสู่การก่อตั้งสหภาพโซเวียต พระเจ้าซาร์ถูกถอดพระอิสริยยศและมีการจัดตั้งรัฐบาลขึ้นชั่วคราว ทำให้พระเจ้าซาร์และครอบครัวเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ถูกจองจำ จนกระทั้งตำรวจบอลเชวิกสั่งประหารปลงพระชนม์ยิงเป้าสมาชิกเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ในปี 1918 ถือเป็นการสิ้นสุดราชวงศ์โรมานอฟที่ยาวนานของรัสเซีย

อย่างไรก็ดีก็มีการถกเถียงกันถึงสาเหตุที่ไม่พบที่ฝังพระศพของเจ้าหญิงอะนัสตาซียา ทำให้มีข้อสมมติฐานว่าพระนาง อาจทรงรอดพ้นจากมรณภัยและหลบหนีมาได้ มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างนี้แพร่ทั่วไป และมีการแอบอ้างตัวเป็นพระนางมากหลายรายโดยเฉพาะแอนนา แอนเดอร์สัน (Anna Anderson) ที่เป็นกรณีที่ได้รับความสนใจที่สุด จนกระทั้งมีผลการทดสอบทางพันธุกรรมเพื่อหาข้อพิสูจน์ความเกี่ยวข้องของเธอและราชวงศ์รามานาฟในปี 1994 ปรากฏว่า ไม่มีสิ่งใดในร่างกายของแอนเดอร์สันเกี่ยวข้องทางพันธุกรรมกับพระราชวงศ์รามานาฟ (House of Romanov) เลย



อันดับ 8 การฉ้อโกงสะท้านโลกของเบอร์นาร์ด แมดอฟฟ์



เมื่อเบอร์นาร์ด แมดอฟฟ์ อดีตประธานตลาดหุ้นแนสแดค สารภาพต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ และหน่วยงานสืบสวนสอบสวนของสหรัฐ ว่า เขาฉ้อโกงประชาชน โดยโน้มน้าวให้เหยื่อมาลงทุนในลักษณะของ Ponzi Scheme ที่มีพฤติกรรมการฉ้อโกงที่มีลักษณะเป็นแชร์ลูกโซ่ โดยลูกค้าจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการลงทุนในอัตราสูงๆ หากสามารถหาลูกค้ามาลงทุนต่อเนื่องเป็นไปเรื่อย ๆ

คำสารภาพของแมดอฟฟ์ เป็นจุดเริ่มของการย้อนรอยคดีฉ้อโกงครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งสร้างมูลค่าความเสียหายให้กับนักลงทุนไปมหาศาล ประกอบไปด้วยสถาบันการเงิน มูลนิธิ มหาเศรษฐี คนมีชื่อเสียง นักการเมือง หรือแม้กระทั่งเพื่อนสนิทมิตรสหายของแมดอฟฟ์เอง เป็นจำนวนประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

อันดับ 9 ฮันฟาน เมียเกอเร็นปลอมแปลงผลงานของโยฮันส์ เวร์เมร์

ฟาน เมียเกอเร็น ยืนยันว่าภาพวาดที่เป็นผลงานของตน
หนึ่งการโกหกกรณีครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ เมื่อฮันฟาน เมียเกอเร็นศิลปินชาวดัตช์ ถูกเหล่านักวิจารณ์และผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะจับได้ว่าเขาปลอมเเปลงผลงานของโยฮันส์ เวร์เมร์ จิตรกรชาวดัตช์ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในต้นศตวรรษที่ 20 นักวิชาการถกเถียงกันกับเกี่ยวกับผลงานภาพวาดชุดพระคัมภีร์ไบเบิลของเวร์เมร์ และฟาน เมียเกอเร็นใช้โอกาสนี้ปลอมแปลงหนึ่งในผลงานของเวร์เมร์อย่างรอบครอบ ซึ่งหนึ่งในผลงานนั้นคือภาพ 'The Disciples at Emmaus' 

ฟาน เมียเกอเร็นใส่ใจในทุกรายละเอียดของภาพ เพื่อการปลอมแปลงครั้งนี้ เขารู้ประวัติทุกอย่างของภาพวาดนี้ดีทั้งอายุของภาพที่มากผ่านหลายศตวรรษ เขากล่าวว่านักวิจารณ์มีอคติเกินไปกับตัวเขา และกล่าวหาว่าพวกเขาเพียงแค่ต้องการจะเชื่อว่าภาพนี้คือผลงานของเวร์เมร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะส่วนใหญ่เชื่อว่าภาพวาดนี้คือผลงานของเวร์เมร์จริงและฟาน เมียเกอเร็น เป็นหัวขโมยที่จะปลอมแปลงเพื่อจะขายผลงานของเวร์เมร์ อย่างไรก็ตามฟาน เมียเกอเร็นมีผลงานอยู่ในช่วงทศวรรษที่ 30 -40 และอีกหนึ่งในความผิดพลาดของเขาคือ เขาได้ขายภาพวาดให้กับสมาชิกคนสำคัญของนาซี หลังจากสงครามยุติ ฝ่ายสัมพันธมิตรเชื่อว่าเขามีส่วนสมรู้ร่วมคิดสำหรับการขาย สมบัติของชาติให้กับศัตรู

ในการพิจารณาคดีฟาน เมียเกอเร็นได้วาดภาพหนึ่งสำหรับเสรีภาพของเขา เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าเขาไม่มีส่วนในการขายสมบัติของชาติและปลอมแปลงผลงานให้การเจ้าหน้าที่ เขาจึงได้รับโทษสถานเบาหนึ่งปีในคุก แต่ฟาน เมียเกอเร็นก็ได้เสียชีวิตลงจากอาการหัวใจวายสองเดือนหลังจากการพิจารณาคดีสหรัฐ


อุบายม้าไม้เมืองทรอยหนึ่งในการโกหกครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์

ภาพวาดม้าโทรจัน
ม้าโทรจันหรือม้าไม้เมืองทรอย คือเรื่องราวการทำสงครามระหว่างชาวกรีกกับกรุงทรอย ซึ่งทหารกรีกได้ใช้กลยุทธ์ม้าไม้ขนาดใหญ่ ที่เป็นอุบายนำไปสู่การบุกเข้าเมืองทรอยที่มีป้อมปราการอันแข็งแกร่งได้สำเร็จ

หลังจากที่กรีกและเมืองทรอยทำสงครามยืดเยื้อมานานถึง 10 ปีแล้ว ทหารกรีกจึงแสร้งทำเป็นถอยทัพกลับ และสร้างไม้ม้าขนาดใหญ่ เมื่อชาวเมืองทรอยเห็นจึงเข้าใจว่าทหารกรีกสร้างม้าไม้ขึ้นมาเพื่อเบรรณาการบูชาเทพเจ้าหรือเป็นการขอขมาต่อชาวเมืองทรอย จึงลากเข้าไปไว้ในเมืองและฉลองชัยชนะ ทว่าเมื่อตกดึกทหารกรีกที่ซ่อนตัวอยู่ในม้าไม้ก็ไต่ลงมาเผาเมืองและปล้นเมืองทรอยได้เป็นที่สำเร็จ

ไม่มีความคิดเห็น: