วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

สงครามเย็น สงครามจิตวิทยาที่ใช้คำโฆษณาชวนเชื่อ

ต่างฝ่ายต่างข่มขวัญกับด้วยกองกำลังทหาร
         
                  สงครามเย็น (Cold War) ระหว่าง ค.ศ. 1947-1991) เป็นการต่อสู้กันระหว่างกลุ่มประเทศ 2 กลุ่ม ที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองและระบอบการเมืองต่างกัน เกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ฝ่ายหนึ่งคือสหภาพโซเวียตที่ต้องการให้ทฤษฎีโดมิโนเกิดขึ้นจากกรณีการขยายตัวของลัทธิและระบอบคอมมิวนิสต์ไปในเอเชีย เรียกว่า ค่ายตะวันออกซึ่งปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ อีกฝ่ายหนึ่ง คือ สหรัฐอเมริกาและกลุ่มพันธมิตร เรียกว่า ค่ายตะวันตก ซึ่งปกครองด้วยระบอบเสรีประชาธิปไตย ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวทั้งสองฝ่ายได้แข่งขันในด้านการสะสมอาวุธ เทคโนโลยีอวกาศ การจารกรรม เศรษฐกิจ และทำสงครามผ่านสงครามตัวแทน เพื่อหาประเทศที่มีอุดมการณ์คล้ายคลึงกันมาเป็นเครื่องถ่วงดุลอำนาจกับฝ่ายตรงข้าม

                  หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ. 1945 ทั่วทั้งยุโรปอยู่ในสภาพบอบช้ำจากสงคราม เยอรมนีในสภาพแพ้สงครามนั้นลำบาก น่าสงสาร ภายหลังกองทัพนาซีเยอรมัน ภายใต้การนำของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้พ่ายในสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้นำตัวฉกาจก็มีคำสั่งประหาร หรือหลบหนีไปได้ กองทัพสัมพันธมิตรได้เข้ายึดครองประเทศเยอรมัน และต่อมา 4 ประเทศมหาอำนาจที่เป็นแกนนำในสงครามครั้งนั้น ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส และสหภาพโซเวียต เพื่อจับตาดูว่าเยอรมันจะเป็นภัยหรือคิดการใหญ่ต่อโลกอีกหรือไม่ ได้ทำสนธิสัญญาในการแบ่งการดูแลประเทศเยอรมันออกเป็น 4 ส่วนภายใต้การดูแลของแต่ละประเทศ และเช่นกัน นครเบอร์ลิน เมืองหลวงของประเทศ ก็เช่นกันถูกแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 4 ส่วนเช่นเดียวกัน ในกลุ่มที่ปกครองเยอรมันตะวันตกไม่มีปัญหาเท่าไหร มีแต่เร่งฟื้นตัวส่งผลดีต่อเยอรมณี ทั้งนั้น แต่ในส่วนของการปกครองโดยสหภาพโซเวียต ไม่ได้สนใจเรื่องเศรฐกิจมากนัก ปลูกฝังแต่อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ สหรัฐอเมริกาดูท่าทีของสหภาพโซเวียต จนเกรงว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์ นั้นจะแพร่กระจายไปหลายประเทศ นักวิชาการของอเมริกาเสนอแผนให้ประธานาธิบดี ทรูแมน ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ ประเทศในยุโรปที่ได้รับความลำบากจากสงคราม สนับสนุนปัญหา เศรษฐกิจ ปัญหาความอดยาก เพื่อให้ได้คะแนนเสียงจากพวกโลกเสรี สหภาพโซเวียตจับตามองความเคลื่อนไหวของสหรัฐอเมริกา อย่างไม่พอใจ ได้สร้างกำแพงเพื่อปิดกั้นพรมแดนเบอร์ลินตะวันตกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมันตะวันตกที่ปกครองโดยกลุ่มโลกเสรี ออกจากเยอรมนีตะวันออก ที่โซเวียตปกครอง ด้วยหลักคอมมิวนิสต์
ภาพทฤษฎีโดมิโนเกิดขึ้นจากกรณีการขยายตัวของลัทธและระบอบคอมมิวนิสต์ไปในเอเชีย 


                  สงครามเย็นอยู่ภาวะตรึงเคลียดสุดขีด ประเทศมหาอำนาจทั้ง 2 ฝ่ายต่างแข่งขันกัน ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวทั้งสองฝ่ายได้แข่งขันในด้านการสะสมอาวุธ เทคโนโลยีอวกาศ การจารกรรม เศรษฐกิจ และทำสงครามผ่านสงครามตัวแทน เพื่อหาประเทศที่มีอุดมการณ์คล้ายคลึงกันมาเป็นเครื่องถ่วงดุลอำนาจกับฝ่ายตรงข้าม โดยพยายามสร้างแสนยานุภาพทางการทหารของตนไว้ข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม โดยประเทศมหาอำนาจจะไม่ทำสงครามกันโดยตรง แต่จะสนับสนุนให้ประเทศพันธมิตรของตนเข้าทำสงครามแทน หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสงครามตัวแทน (Proxy War) เหตุที่เรียก สงครามเย็น เนื่องจากเป็นการต่อสู้กันระหว่างมหาอำนาจ โดยใช้จิตวิทยา ไม่ได้นำพาไปสู่การต่อสู้ด้วยกำลังทหารโดยตรง 

                    สหภาพโซเวียตที่ต้องการให้ทฤษฎีโดมิโนเกิดขึ้นจากกรณีการขยายตัวของลัทธิและระบอบคอมมิวนิสต์ไปในเอเชีย โดยเริ่มจากจีน เกาหลี เวียดนาม ไทย มาเลเซีย อินโดนิเซีย ลงมา เรียกว่า ค่ายตะวันออกซึ่งปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ สหรัฐอเมริกาตกอยู่ในที่นั่งลำบากเมื่อจีนมหาอำนาจอีกประเทศของโลกประกาศเป็นคอมมิวนิสต์ และสงครามเวียดนามสมรภูมิที่สำคัญ ตัดสินแพ้ชนะ เมื่อฝ่ายคอมมิวนิสต์ สหภาพโซเวียต สนับสนุน เวียดนามเหนือเต็มที่ ทั้งด้านเศรษฐกิจ ปัญหาภายในประเทศเวียดนาม ส่วนกลุ่มโลกเสรีประชาธิปไตย สหรัฐอเมริกาก็ให้ความช่วยเหลือ เวียดนามใต้ โดยใช้ไทยเป็นฐานทัพ การสิ้นสุดของทศวรรษ 1980  เป็นการสิ้นสุดของยุคสมัยแห่ง “สงครามเย็น” ซึ่งดำเนินมาเป็นเวลาเกือบครึ่งศตวรรษภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้การขัดแย้งทางอุดมการณ์และการแข่งขันกันเป็นผู้นำของโลกระหว่างสหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียตสิ้นสุดลง  สืบเนื่องมาจากการล่มสลายของระบบการปกครองคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกและความเปลี่ยนแปลงในสหภาพโซเวียต  อันเป็นผลมาจากนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจและ การปรับเปลี่ยนนโยบายดังกล่าวทำให้เกิดความไม่พอใจ ในกลุ่มผู้นำคอมมิวนิสต์หัวเก่าและนำไปสู่การปฏิวัติที่ล้มเหลว  การหมดอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์  ประเทศบริวารของสหภาพ โซเวียตในยุโรปตะวันออก ต่างแยกตัวเป็นอิสระและท้ายที่สุดรัฐต่างๆ ในสหภาพโซเวียตต่างแยกตัวเป็นประเทศอิสระปกครองตน และการทำลายกำแพงเบอร์ลิน เป็นสัญญาณสิ้นสุดสงครามเย็นอย่างแท้จริง


การทำลายกำแพงเบอร์ลิน เป็นสัญญาณสิ้นสุดสงครามเย็นอย่างแท้จริง

วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555

นักรบที่มีคุณธรรม เก่งกล้าและมีเกียรติ ในนามอัศวิน

               
              อัศวิน (Knight) คือนักรบผู้สวมเกราะ ขี่ม้า ถือดาบ และต่อสู้โดยมีจุดประสงค์เพื่อปกป้องอาณาจักร ศาสนา กษิตริย์ หรือหญิงงามในดวงใจ อัศวินเป็นชนชั้นทางสังคมที่อยู่เหนือชาวนา แต่ต้อยต่ำกว่าขุนนาง แต่ภายหลังปี ค.ศ. 1200 ช่องว่างระหว่างชนชั้นอัศวินกับขุนนางก็สิ้นสุดลง เมื่อสิ้นสุดสมัยกลาง อัศวินและขุนนางก็เป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในชนชั้นสูง

              อัศวินมีหลักการซึ่งเรียกว่า "หลักวีรคติ" กำกับความเป็นอัศวิน จึงทำให้มีความพิเศษมากกว่านักรบบนหลังม้า อัศวินที่แท้จริง คือนักรบในนามของศาสนาคริสต์ซึ่งดำเนินตามหลักคำสอนของคริสต์ศาสนาอย่างเคร่งครัด เช่น การช่วยเหลือผู้อ่อนแอ หรือปกครองศาสนา เป็นต้น อัศวินกำเนิดขึ้นในยุคมืด ของยุคกลาง ช่วงต้นศตวรรษที่ 5 ถึงศตวรรษที่ 10 ซึ่งเป็นช่วงที่ยุโรปวุ่นวายถึงที่สุดเมื่อจักรวรรดิโรมัน ล่มสลายจากการรุกรานของชนเผ่าป่าเถื่อน ในปี ค.ศ. 476

เส้นทางสู่การเป็นอัศวิน ผู้มีเกียรติ

              การเป็นอัศวินนั้น ต้องมีเงื่อนไขของในสายเลือด เนื่องจากถ้าไม่มีบรรพบุรุษเป็นขุนนางที่ทรงศักดิ์ หรือเป็นอัศวินนั้นก็อาจไม่ถูกเลือกเป็น การเป็นอัศวินต้องเริ่มตั้งแต่ 7 ขวบ เด็กในตระกูลขุนนางที่อยากเป็นอัศวินจะถูกส่งไปเป็นเด็กรับใช้อัศวิน เรียกว่า เพจ (Page) จะเริ่มฝึกฝนจากขั้นพื้นฐาน พอฝึกจนครบอายุ 14 ปี ก็จะเลื่อนขึ้นเป็นทหารรับใช้ หรือ สไควร์ (Squire) ซึ่งต้องศึกษาเรื่องของการรบ การขี่ม้า เล่นหมากรุก และต้องคอยติดตามรับใช้ เจ้านายในสนามรบ คอยขัดเกาะ ลับดาบให้เจ้านาย

              พออายุได้ 21 ก็จะได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวิน (Knight) โดยจะมีการประกอบพิธีแต่งตั้งในโบสถ์ กล่าวคำสาบาน และจะได้รับการแต่งตั้งจากผู้เป็นนาย ขุนนางที่มียศฐาบรรดาศักดิ์ พระราชา หรือพระราชิณี โดยการแต่งดาบที่บ่าและหัว อันเป็นว่าได้รับการแต่งตั้งเป็น อัศวินอย่างสมบูรณ์




ศึกการประลองของอัศวิน 

              การประลองยุทธ์คือการที่อัศวินสองคนควบม้า กระชับทวนเข้าหากัน เพื่อดวลกันด้วยการแทงทวน เข้าใส่ฝ่ายตรงข้าม ถือว่าเป็นการซ้อมอย่างหนึ่งของอัศวิน และยังเป็นการหาเงินหรือสร้างชื่อเสียงไปด้วย เงินก็ได้จากรางวัลในการประลอง หรือเดิมพันส่วนตัว ส่วนชื่อเสียงจะทำให้ได้ที่ดินทำให้ยศสูงขึ้น แต่การประลองยุทธ์อาจทำให้ได้รับบาดเจ็บต่าง ๆ เช่นตกม้า หรือทวนทะลุเกราะ




หลักวีรคติที่อัศวินยึดมั่น

              หลักวีรคติ คือหลักการปฎิบัติตัวของอัศวินที่เกิดขึ้นเพื่อควบคุมพฤติกรรมของนักรบเพื่อไม่ให้ปฎิบัติตนออกนอกลู่นอกทางของอาณาจักรและศาสนจักร ต้องปฎิบัติตามหลักคือ จะต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่ศาสนจักรสอนและปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด ต้องปกป้องศาสนจักร ต้องเอาใจใส่ผู้อ่อนแอและปกป้องพวกพ้อง ต้องรักแผ่นดินเกิดของตน ต้องทำสงครามกับพวกนอกศาสนา  จะต้องรักษาคำพูดของตน จะต้องเป็นผู้ผดุงความถูกต้องและความดีงาม


หรูหรา ฟูฟ่า และฟุ่ยเฟือย ชีวิตอัศวินในวันรุ่งโรจน์


"ภาพการสู้รบของอัศวิน"

              ในคริสต์ศตวรรษที่ 11-13 หรือยุคที่เรียกว่า "ศักดินาสวามิภักดิ์" ซึ่งเป็นยุคทองของอัศวินโดยแท้จริง เพราะยุโรปกลายเป็นแคล้นเล็กแคล้นน้อย ภายใต้ระบบการปกครองของขุนนางต่าง ๆ ทำให้เกิดสงครามบ่อยขึ้น กองกำลังอัศวินจึงมีความจำเป็น เพื่อใช้คุ้มครองผู้คนพื้นดินต่าง ๆ บทบาทของอัศวินมีมากจนก่อให้เกิดวรรณกรรมต่าง ๆ มากมายเช่น "บทเพลงแห่งโรลองด์" และเนื่องจากการจะได้รับแต่งตั้งเป็นอัศวิน จะต้องมีบิดา บรรพบุรุษเป็นขุนนางที่ทรงศักดิ์ หรือเป็นอัศวินเท่านั้น ทำให้อัศวินในสังคมยุคนั้นมีน้อย เพราะต้องสืบสายเลือดกันอยู่ในชนชั้นสูงของตนเอง และเพราะเป็นคนกลุ่มน้อยทำให้ครอบครองที่ดินมากมาย มีทรัพย์สินมั่งคั่ง เป็นผลให้อัศวินส่วนใหญ่มีความเป็นอยู่อย่างหรูหรา ฟุ่มเฟือย มีชีวิตที่น่าตื่นเต้น สนุกสนาน ใช้เวลาส่วนใหญ่กับการรบ ล่าสัตว์ เลี้ยงฉลอง หรือร่วมงานรื่นเรงต่าง ๆ

ยุคเสื่อมถอยของอัศวิน

              เมื่อมีการฝึกฝนพลราบถือทวนยาวและพลธนูมาใช้ในสงคราม และอัศวินเริ่มหมดความสำคัญเมื่อมีปืนไฟเข้ามาใช้ในการรบ เพราะปืนไฟใช้งานง่าย ฝึกใช้ไม่ยาก ขณะที่การฝึกอัศวินนั้นใช้เวลานาน และต้องใช้ต้นทุนทางเวลาและทรัพย์สินอีกมาก ดั้งนั้น หลังจากมีการใช้ปืนไฟ ยุคของอัศวินในสงครามก็จบลง แต่ในปัจจุปัน อัศวินยังเป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติ บ่งบอกคุณงามความดีเพื่อชาติ อย่างในอังกฤษก่อตั้งยศเซอร์ โดยไม่จำเป็นต้องสู่รบอีกต่อไป เช่น เซอร์ไอแซก นิวตัน ผู้คิดค้นทฤษฎีแรงโน้มถ่วง เซอร์ เอลตัน จอห์น และ เซอร์พอล แมคคาร์ทนีย์ นักดนตรีระดับโลก เซอร์ แมตต์ บัสบี และเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด


วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อินเดียนแดง ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และเจ้าของถิ่นเดิมในดินแดนอเมริกา


อินเดียนแดง ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Indian หรือ Native American โดยในอดีตได้ใช้คำว่า Red Indian แต่ได้เลิกใช้แล้วโดยถือว่าเป็นคำไม่สุภาพ คือชื่อเรียกชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกา ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นชนเผ่า ที่อาศัยอยู่ในอเมริกาเหนือ แคนาดา เม็กซิโก ไปจนถึงอเมริกาใต้ อย่าง บลาซิล เปรู สันนิษฐานว่าบรรพบุรุษของพวกเขาเป็นกลุ่มคนจากเอเชียที่อพยพเข้าไปประมาณ 20,000 ปีที่แล้ว เนื่องจากมีลักษณะรูปร่างหน้าตาคล้ายคนเอเชียใต้ ที่มาของชื่อ อินเดียนแดง ถูกเรียกมาจาก คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักสำรวจ นักเดินเรือ ชาวเจนัว ที่ครั้งหนึ่งเขาได้ออกสำรวจทางทะเลเพื่อค้นหาเส้นทางเรือที่ใช้ติดต่อการค้ากับเอเชีย และเล่นเรือไปจนเจอหมู่เกาะทะเลในแคริเบียน แต่กลับเข้าใจผิดคิดว่านี้เป็นดินแดนอินเดีย

วิถีชีวิตและความเชื่อของอินเดียนแดง


ชาวอินเดียนแดงในทวีปอเมริกาจะอยู่ร่วมกันเป็นเผ่ากระจายอยู่ทั่วประเทศ แต่จะตั้งถิ่นฐานกันหนาแน่นบริเวณแม่น้ำามิสซิสซิปปี ที่อยู่ตอนกลางของสหรัฐอเมริกา ซึ่งพวกเขาจะมีสภาพการดำรงชีวิตแบบเรียบง่าย ชาวอินเดียนแดงนั้นผูกพันกับธรรมชาติอย่างแนบแน่น ทำไร่ ปลูกข้าวโพด (ชาวอินเดียนแดงเป็นผู้คิดค้นป็อปคอร์น) มันฝรั่ง ใบยาสูบ ถั่ว ล่าสัตว์ เพื่อนำเนื้อไปเป็นอาหารและใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม ทำการประมง โดยใช้เรือแคนู จับปลา สร้างกระโจมที่ทำจากหนังสัตว์เป็นที่อยู่อาศัย อินเดียนแดงมีความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณและเหนือธรรมชาติ ใช้ไสยศาสตร์ในการรักษาโรค ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เช่นเต้นบูชาผี เพื่อขับไล่ชาวอาณานิคมยุโรป อินเดียนแดง เชื่อว่าโลกนี้ มิใช่ของมนุษย์ มนุษย์ต่างหากที่เป็นสมบัติของโลก จำต้องปฏิบัติต่อทุกสิ่งในโลก อย่างให้เกียรติ เพราะถ้าไม่มีสัตว์และพืช เสียสละชีวิต ให้รับประทานเป็นอาหารแล้ว เราก็ย่อมจะดำรงอยู่ไม่ได้ ผู้ใดทำลายผู้คน ทำลายธรรมชาติด้วยแล้ว หายนะจะมาเยือนผู้นั้นในไม่ช้า 


การค้นพบโลกใหม่ของอาณานิคมยุโรป และผลกระทบอันยิ่งใหญ่ต่ออินเดียนแดง 
การที่อินเดียนแดงมีหลากหลายชนเผ่า ที่อาศัยอยู่กระจายไปทั่วทวีปอเมริกานั้นทำให้พวกเขาได้ชื่อว่าเป็น เจ้าของเเผ่นดิน เลยก็ว่าได้ทว่าการพบโลกใหม่ของชาวยุโรป ทำให้ชนพื้นเมืองอินเดียนแดง ได้รับผลกระทบต่าง ๆ มากมายจนทำให้จำนวนประชากรชาวอินเดียนแดง ลดน้อยลง ต้นเหตุของสงครามเกิดขึ้นจากการที่ชาวยุโรปยึดที่ดินของชาวอินเดียนแดง เพื่อสร้างอาณานิคมของตน ลงหลักปักฐาน รุกล้ำ อาณาเขตและเอารัดเอาเปรียบชาวอินเดียแดงต่าง ๆ นานา บังคบให้เป็นทาสทำเหมืองทอง ล่าควายป่าซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวอินเดียนแดง บังคับให้ชาวอินเดียนแดง โยกย้ายไปหาถิ่นฐานใหม่ จนกระทั้งชาวอินเดียนแดง ทนแรงกดดันไม่ไหว จึงลุกขึ้น ต่อสู้ และต่อต้านชาวอาณานิคมในที่สุด แต่ชาวอินเดียนแดงก็มักเป็นฝ่ายแพ้สงครามเกือบทุกครั้งไป 

ชีวิตอินเดียนแดงหลังสงคราม

 เมื่อพ่ายแพ้สงครามให้กับอาณานิคมยุโรปบ่อยครั้ง เป็นเหตุให้พวกเขาต้องอพยมหลบหนี จนประสบเคราะห์กรรมต่าง ๆ มากมาย เกิดสงครามแย่งชิงดินแดนกันระหว่างเผ่าอินเดียนแดงด้วยกันเอง โรคไข้ทรพิษระบาด ทำให้อินเดียนแดงล้มตายกันจำนวนมาก ถูกชาวอาณานิคมต้องการขยายดินแดนเข้ามายึดครองที่ดิน อพยพไปยังภูมิประเทศที่แห้งแล้ง ทำให้เกิดภาวะอดยาด ขาดแคลนอาหาร 

เขตสงวนอินเดียน 
 เขตสงวนอินเดียน (อังกฤษ: Indian reservation) เป็นเขตในบริเวณต่างๆ สหรัฐอเมริกาที่ทางรัฐบาลสหรัฐ กำหนดให้ชาวอเมริกันอินเดียนใช้เป็นที่ตั้งถิ่นฐานตามการประกาศของรัฐบาล ให้ชาวอินเดียนแดงทุก คนย้ายเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2419 (ค.ศ. 1876) ซึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการกระทำที่โหดร้าย ทารุณต่อมนุษย์ในสหรัฐอเมริกามีประมาณ 300 เขตสงวนซึ่งบางเผ่าอาจจะมีอยู่ภายในหลายเขตสงวน โดยมี 9 เขตสงวนที่ใหญ่กว่า 5,000 กม และ 12 เขตสงวนที่มีขนาดใหญ่กว่า 3,000 กม โดยในแต่ละเขตสงวนจะมีดินแดนที่ต่างกัน รวมถึงภูมิประเทศและภูมิอากาศ พื้นดินในบางดินแดนไม่สามารถทำเกษตรกรรมได้ ในปี พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) กฎหมายที่ให้ชาวอเมริกันอินเดียนเปิดคาสิโนอย่างถูกกฎหมายผ่านสภา ซึ่งรัฐบาลสหรัฐอเมริกาหวังว่าชาวอเมริกันอินเดียนสามารถมีรายได้เพียงพอสำหรับคนในเผ่า ภายใต้ชื่อว่า "1988 Indian Gaming Regulatory Act" 

ขอบคุณเนื้อหาบางส่วนจาก หนังสือ เจาะตำนานอินเดียนแดง และ Wikipedia