วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สองวีรบุรุษนักปีนเขาพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกได้ในปี 1953

Learn to History : สองวีรบุรุษนักปีนเขาพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกได้ในปี 1953

ฮิลลารีและนอร์เกย์สร้างประวัติศาสตร์
ด้วยการพิชิตจุดปลายสูงสุดของโลก
ความสำเร็จครั้งใหญ่นี้นับเป็นหนึ่งในสุดยอด
ความสำเร็จแห่งศตวรรษที่ 20
กว่าครึ่งศตวรรษแล้วนับตั้งแต่เซอร์ เอ็ดมันด์ ฮิลลารีและเทนซิง นอร์เกย์กลายเป็นนักปีนเขาสองคนแรกที่พิชิตยอดเขาสูงที่สุดของโลกได้ และกระทั่งหกทศวรรษที่ผ่านมาความสำเร็จของพวกเขาสะท้อนให้เห็นว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดความสำเร็จแห่งศตวรรษที่ 20

ยอดเขาเอเวอเรสต์แห่งเทือกเขาหิมาลัย ที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลถึง 8,840 เมตร เป็นจุดปลายสุดยอดที่ไม่มีสิ่งใดสูงกว่านี้อีกแล้วบนโลก และธรรมชาติของดาวดวงนี้ไม่ได้กำหนดให้ใครหรือสิ่งมีชีวิตใดขึ้นมาบนนี้ได้ มีเพียงเกร็ดความเย็นสีขาวบริสุทธิ์ปกคลุมหินผานี้ สภาพอากาศที่เบาบางจนแทบไม่สามารถหายใจได้ รังสียูวีและแสงแดดแรงกว่าที่ระดับพื้นดินส่งผลต่อสายตาพวกเขา หากมองด้วยตาเปล่าเป็นเวลานาน และท้ายที่สุดมันก็ถูกพิชิตได้โดยนักปีนเขาเทนซิง นอร์เกย์ชายชาวเนปาลคนท้องถิ่นและเซอร์ เอ็ดมันด์ ฮิลลารีนักผจญภัยชาวนิวซีแลนด์ที่เคยพ่ายแพ้ใหักับการขึ้นสู่ยอดเขาเอเวอเรสต์ในปี 1951 มาแล้ว

ภูเขาสีขาวบริสุทธิ์สวยงามทอดยาวปกคลุมหิมะเบื้องล่างตั้งตระหง่านต้านทานลมพายุ ยืนตัดเมฆหมอกที่ลอยผ่านมาอย่างสวยงาม และทั้งโอบอุ้มชีวิตมอบสายน้ำแก่ผู้คนในรอบล้อมเทือกเขาหิมาลัยนี้ 'โซโมลังมา' หรือ 'มารดาแห่งสวรรค์' เป็นชื่อภาษาถิ่นที่เรียกด้วยศรัทธาของชาวทิเบต ส่วนชาวเนปาลขนานนามยอดเขาแห่งนี้ว่า 'สครมาถา' หมายถึง 'หน้าผากแห่งท้องฟ้า' ด้วยความที่เป็นภูเขาสูงใหญ่ทำให้มนตร์เสน่ห์ของเขาหิมาลัยนี้ท้าทายนักปีนเขาทั้งหลายจากทั่วโลก

นอร์เกย์ยืนตระง่านอยู่บนยอดเขา
มือถือธงแห่งชัยชนะพร้อมปัก
ประวัติศาสตร์ลงบนพื้นน้ำแข็ง
ซึ่งภาพนี้ถ่ายโดยฮิลลารี
ในประวัติการเดินทางเพื่อพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์นั้นเริ่มขึ้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ตั้งแต่ในปี ค.ศ. 1921 แล้ว และเมื่อในที่สุดวันที่ 29 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1953 เวลา 11:30 ขณะพระอาทิตย์ใกล้จะลอยขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดมนุษย์สองคนได้ยืนอยู่ปลายสุดของแผ่นดินโลกแล้ว ประวัติศาสตร์ได้บันทึกเรื่องราวความกล้าหาญของนักปีนเขานอร์เกย์และฮิลลารี มนุษย์สองคนที่ยืนอยู่เหนือปลายสุดของแผ่นดิน

นอร์เกย์ได้วางแท่งช็อคโกแลตเป็นการขอบคุณเอเวอเรสต์ส่วนฮิลลารีวางสร้อยกางเขนเป็นการขอบคุณพระเจ้า เมื่อสองนักปีนเขาผู้พิชิตลงมาถึงพื้นโลกอย่างปลอดภัยพวกเขาก็ได้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้อย่างสมบูรณ์

ความยิ่งใหญ่ของการพิชิตเทือกเขาเอเวอเรสต์นี้ได้ สำหรับชาวเชอร์ปา และนักปีนเขาบางคนแล้ว ยอดเขาเอเวอเรสต์ไม่ได้เป็นเพียงแค่จุดที่สูงที่สุดบนพื้นโลกเท่านั้น หากยังเป็นจุดหมายสูงสุดในชีวิตพวกเขาด้วย การไปให้ถึงยอดเขาเอเวอเรสต์เป็นเรื่องที่ยากลำบาก แต่เมื่อยอดเขาเอเวอเรสต์ถูกพิชิตได้ นั่นหมายความว่าขีดจำกัดของมนุษยชาติได้เพิ่มขึ้นภายหลังที่เทนซิง นอร์เกย์ และเซอร์ เอ็ดมันด์ ฮิลลารีพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสได้สำเร็จนั้น พวกเขาได้รับความสนใจและเสียงสรรเสริญมากมายจากผู้คนทั่วโลก หนังสือพิมพ์พาดหัว “ผู้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์กลับมาอีกครั้ง” มีงานเลี้ยงฉลองและพิธีมอบเหรียญรางวัลจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ผู้คนต่างให้ความสนใจข่าวการพิชิตยอดเขาของโลก อีกทั้งยังเป็นการสร้างแรงบัลดาลใจแก่นักผจญภัยทั่วโลกด้วย

นักข่าวยิงคำถามมากมายใส่พวกเขาเช่น “ทำไมพวกคุณต้องเอาชีวิตไปทิ้งบนนั้นด้วย” ฮิลลารีได้ตอบว่า “เราไม่ได้ขึ้นไปตายแต่เราขึ้นไปเพื่อมีชีวิตเป็นนิรันด์” อีกทั้งคำถามที่ถกเถียงกันมากมายที่ว่า ใครที่ก้าวขึ้นไปสู่จดสูงสุดของโลกเป็นคนแรกกันแน่ระหว่าง ฮิลลารีชายร่างสูงแข็งแรงผู้รักการปีนเขาที่กลับมาท้าทายเอาชนะเอเวอเรสต์จากความล้มเหลวเมื่อปี 1951 หรือนอร์เกย์ชายชาวเนปาลที่มีความรู้ความเข้าใจดีในเรื่องของสภาพอากาศ และคำตอบสำหรับคำถามที่ถกเถียงกันมากมายนี้ นอร์เกย์ได้ตอบคำถามนี้ด้วยความจริงใจว่า “มันสำคัญด้วยหรือว่าใครคือคนแรกในเมื่อเราต่างพิชิตยอดเขาได้เหมือนกัน”

แม้ยอดเขาเอเวอเรสต์จะถูกพิชิตลงได้อย่างเป็นทางการ แต่มนต์ขลังของยอดเขาแห่งนี้ก็ใช่ว่าจะหมดไป นักปีนเขาทั้งหลายทั่วทุกสารทิศจากทุกมุมโลก ทั้งชายและหญิงต่างก็อยากท้าทายความกล้าที่จะพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ให้ได้ซักครั้งในชีวิต นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1953 เป็นต้นมา ความสำเร็จแรกของการพิชิตเอาชนะยอดเขาสูงสุดของโลกได้นี้ได้จุดประกายให้กับนักปีนเขาและนักผจญภัยทั่วโลก

ฝูงชนชาวเนปาลแห่ต้อนรับสองวีรบุรุษ ณ จัตุรัสวิหาร Bhandgaon
นอร์เกย์ยืนอยู่รถจิ๊บคันแรกตามมาด้วยรถของฮิลลารีคันหลัง





วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556

History is Written by The Winners : ประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยผู้ชนะญี่ปุ่นหลังพ่ายสงคราม



เด็ก ๆ ชาวญี่ปุ่นรอรับเสด็จจักรพรรดิโชวะแห่งญี่ปุ่น ระหว่างการเสร็จเยื่ยมเยือนสภาพบ้านเมืองและประชาชน
ครั้งแรกนับตั้งแต่สิ้นสุดสงคราม
เมื่อความขัดแย้งของการสู้รบสิ้นสุด มีการลงนามถึงจุดมุ่งหมายและค้นหาปรัชญาของการปราชัย มีคำแก้ตัวของพวกเขาสำหรับหลังการสู้รบไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับสงครามหรือไม่ ญี่ปุ่นต้องการบอกเพียงเป็นปกป้องตัวเองจากผู้รุกราน จุดมุ่งหมายของการปราชัย ในช่วงเวลาของบทสรุปแห่งการยอมจำนนนี้แทบจะหาเหตุผลให้ต้องโต้แย้งไม่ได้ คำกล่าวเดิมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และผู้ชนะคือการรับรู้เรื่องราวของอดีต

ปี ค.ศ. 1945 ความพ่ายแพ้มาเยือนกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นหลังจากที่หลายประเทศถูกพัวพันในสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนหน้านั้นขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังคึกคัก ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่ยิ่งใหญ่ของโลกมานานหลายศตวรรษ แต่ทางการทหารญี่ปุ่นได้หวั่นเกรงในวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณี และเมื่อญี่ปุ่นมุ่งมั่นที่จะฆ่าตัวตายในท้ายที่สุด นโยบายที่คิดจะรุกรานผนวกหลายประเทศในเอเชียช่วงทศวรรษที่ 30 ความเป็นชาตินิยมได้คุกรุ่นตัวผู้นำประเทศ ความคิดที่เป็นภัยของความเหนือกว่าทางเชื้อชาติได้เริ่มต้นขึ้น

ในสายตาของชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ไม่คิดว่าจักรวรรดิแห่งพระอาทิตย์จะพบกับความพ่ายแพ้อย่างคาดไม่ถึง แต่ภาพซากปรักหักพังของญี่ปุ่นในปี 1946 ยืนยันความบอบช้ำของพวกเขาพระราชกรณียกิจของจักรพรรดิโชวะ คือการออกเสด็จเยี่ยมเยือนสภาพบ้านเมืองและประชาชนของพระองค์ เพื่อรับรู้ถึงผลกระทบของสงครามและตระหนักว่าญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับกลียุคหรือช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก ภูมิทัศน์ทั้งหลายถูกทำลาย ความอัปยศอดสูของการเป็นประเทศแพ้สงครามรายรอบญี่ปุ่น ภาพของการสูญเสียในระดับที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้

ญี่ปุ่นฟื้นตัวจากประเทศสงครามได้ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา และกลับมาเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจได้อีกครั้ง จักรพรรดิญี่ปุ่นได้หายไปพร้อมกับตำนานที่ว่าญี่ปุ่นเหนือกว่าทางเชื้อชาติ การทหาร และวัฒนธรรม ทั้งหมดเป็นเรื่องราวของบทสรุปที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงคราม

จักรพรรดิโชวะแห่งญี่ปุ่น ระหว่างการออกเสด็จเยี่ยมเยือนสภาพบ้านเมืองและประชาชนของพระองค์
เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สิ้นสุดสงคราม เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 1946

วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ภาพมุมกว้างของการปฏิวัติทางวัฒนธรรมครั้งสำคัญของจีน

ประชาชนจีนกว่าหลายพันคนรวมตัวชุมชนหน้าจัตุรัสในเมืองฮาร์บิน เพื่อสนับสนุนแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์ของเหมาเจ๋อตุง เมื่อวันที่ 13 กันยายน ปี 1966



บทความจะนำเสนอพร้อมภาพถ่ายที่บอกเล่าเรื่องราวของการปฏิวัติครั้งสำคัญในจีน ช่วงปลายยุค 60's ภาพถ่ายเหล่านี้จะบอกเล่าเรื่องราวครั้งสำคัญ ภาพถ่ายเหล่านี้จะเป็นพยานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของทศวรรษแห่งความวุ่นวายและการเปลี่ยนครั้งใหญ่นี้ เมื่อการปฏิวัติทางวัฒนธรรมเริ่มต้นทางการของเหมา เจ๋อตงประกาศ ให้ทุกคนเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงและการเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งใหญ่ และได้สร้างความตื่นเต้นอย่างมากกับประชาชนชาวจีน ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหว และยุคของการเปลี่ยนแปลงจากระบบศักดินาที่ล้าหลังสู่ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ก็เริ่มต้นขึ้น

นานกว่าหลายปีที่จีนทุกปกครองโดยราชวงศ์ที่ทุจริตและอ่อนแอ ประเทศทุกแบ่งออกเป็นส่วน ๆ แต่เมื่อราชวงศ์ถูกล้มล้าง โดยขบวนการสาธารณรัฐใหม่ ซึ่งนำโดยพรรคก๊กมินตั๋งหรือจีนธนชาติ จากประเทศที่มีการปกครองแบบศักดินา คนรวยจำนวนน้อยอยู่อย่างสุขสบายแต่คนอีกหลายล้านของประเทศแทบเอาชีวิตไม่รอด ในชนบทเจ้าของที่ดินระบอบศักดินาจะทำตัวเช่นจักรพรรดิ รีดไถ่ภาษีคนทำงานอย่างทารุน มีกบฏชาวนาเกิดขึ้นบ่อยครั้งและก็มักถูกปราบปรามอย่างทารุณ ชีวิตทั้งตากตำและโหดร้าย เหมาเล็งเห็นการพัฒนายังกระจุกอยู่แต่ในตัวเมือง ไม่ได้กระจายออกสู่ชนบทอย่างแท้จริง จึงทำให้เกิดการแบ่งแยกระหว่างเมืองและชนบทขึ้น ประกอบกับกลไกการทำงานของรัฐซึ่งมีลักษณะเหมือนระบบขุนนาง และกลไกของพรรคที่เป็นแบบรวมศูนย์มากเกินไป



เหมาได้เข้าร่วมการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของประเทศ ระหว่างที่เขาเข้าฝึกอบรมวิชาชีพครูอยู่ในวิทยาลัย เขาได้แสดงท่าทีการสนับสนุนการปฎิวัติด้วยการตัดหางเปีย ซึ่งไว้กันตามธรรมเนียมเก่าของจีนออก ในช่วงขณะที่เขาได้ทำงานเป็นครูฝึกสอนนี้เอง เขาก็ได้คลุกคลีกับเหล่านักศึกษาและได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์ในรัสเซีย เขารู้สึกมีความสนใจอย่างมากทำให้เขาเล็งเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของคนรากหญ้าที่ถูกเหยียบย่ำ เหมาเริ่มชูประเด็นการพัฒนาในชนบทโดยรณรงค์ให้มีการศึกษา ต่อต้านสมาชิกที่ฝักใฝ่ทุนนิยมและจัดตั้งระบบคอมมูน ในแนวคิดที่ว่าทรัพย์สินทุกอย่างต้องเป็นของรัฐตามอุดมการณ์ของเขา เหมาได้แรงสนับสนุนอย่างมากจากชาวนาที่ยากจนและคนชนชั้นกลาง เหมาได้เรียกร้องจากชาวนามาเข้าคอมมูนเพื่อหาทางเพิ่มผลผลิตในภาคการเกษตร เหมาได้กระจายความคิดระบบคอมมูนไปยังชนบทต่าง ๆ


ไม่นานหลังจากนั้นเขาได้สร้างกองทัพขึ้น และได้พเนจรไปยังที่ต่าง ๆ เพื่อกระจายแนวคิดของเขา แนวคิดคอมมิวนิสต์เป็นภัยคุกคามที่รัฐบาลไม่อาจเพิกเฉยไว้ได้ มีการปะทะกันในที่สุดและฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็ไม่สามารถต่อกรได้แม้แต่น้อย การต่อสู้ของทางการกับฝ่ายคอมมิวนิสต์เริ่มรุนแรงขึ้น จนฝ่ายคอมมิวนิสต์ต้องหลบหนี 

ต่อมาศัตรูเก่าของจีนคือญี่ปุ่นเริ่มเข้ามาและทารุนชาวจีนอย่างโหดร้าย เหมายื่นข้อเสนอขับไล่ชาวต่างชาติกับทางการและให้พวกเขาหยุดยิงฝ่ายคอมมิวนิสต์ของตน นับเป็นข้อตกลงที่สำคัญและฉลาดมาก ช่วงยุคสงครามโลกครั้งที่สอง จีนและญี่ปุ่นถูกดึงให้ร่วมรบไปกับสงคราม อเมริกาส่งอาวุธสนับสนุนจีน และฝ่ายคอมมิวนิสต์ของเหมาก็เข้มแข็งขึ้นได้มียุธโทปกรณ์เพียบพร้อมกว่าที่เคย ค.ศ. 1949 หลังจากต่อสู้กับกองทัพของทางการอย่างต่อเนื่องกองโจรคอมมิวนิสต์ของเหมา ก็ขยายครอบคลุมไปทั่วประเทศและเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงปักกิ่งในที่สุด การปฏิวัติของชาวนาได้รับชัยชนะในที่สุด วันนี้ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน เหมาเจ๋อตุง ได้ประกาศตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นอันสิ้นสุด 30 ปีแห่งสงครามกลางเมืองโดยเหมาได้ประกาศว่า “ณ วันนี้ สาธารณะรัฐประชาชนจีน ศูนย์กลางอำนาจของประชาชนได้ก่อตั้งขึ้นแล้ว”

เจ้าของที่ดินศักดินา ถูกประจารต่อหน้าสาธารณชน


เหมารักษาสัญญาที่ให้ไว้กับชาวนาด้วยการปฎิรูปที่ดิน ด้วยการยึดที่ดินจากเจ้าของเดิมศึกดินาและจัดแบ่งให้กับผู้ทำงานในผืนดินแห่งนั้น

มีการจัดตั้งกลุ่มยุวชนแดงหรือหงเว้ยปิง กลุ่มประชาชนที่มีความเชื่อลัทธิที่เกี่ยวกับเหมา และเป็นพวกหัวรุนแรงจะทำร้ายคนที่มีความ เห็นแตกต่าง เหมาลงโทษ ยุวชนแดงด้วยการให้ทำไร่ ทำสวน เพื่อให้รู้ถึงความยากลำบาก